×

‘หุ้นไทย’ รีบาวด์ 22.6 จุด แรงซื้อกลับหุ้น ‘แบงก์-พลังงาน’ นักลงทุนสถาบันยังขายต่อเนื่องอีก 2.55 พันล้านบาท

22.12.2020
  • LOADING...
หุ้นไทย

หลังจากตลาดหุ้นไทยดิ่งลงแรงเมื่อ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยดัชนี SET ติดลบไปถึง 80.60 จุด ก่อนที่ดัชนีจะปรับตัวลดลงต่อในช่วงเช้าวันนี้ ไปแตะระดับต่ำสุดที่ 1,388.23 จุด แต่หลังจากนั้นก็เริ่มรีบาวด์กลับมาได้ ล่าสุด ดัชนี SET ปิดที่ 1,424.39 จุด เพิ่มขึ้น 22.61 จุด จากวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8.7 หมื่นล้านบาท โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 1,428.11 จุด 

 

ด้านนักลงทุนสถาบันในประเทศยังคงเป็นผู้ขายสุทธิต่อเนื่องอีก 2.559 พันล้านบาท ส่วนนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2.014 พันล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนทั่วไปในประเทศที่ซื้อสุทธิ 417 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 126 ล้านบาท

 

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ปรับตัวขึ้นโดดเด่นในวันนี้ คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ +4.21%, กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ +3.45%, กลุ่มปิโตรเคมี +3.31%, กลุ่มธนาคาร +2.89%, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ +2.37% และกลุ่มพลังงาน +1.77% โดยหุ้นที่ช่วยหนุนดัชนี SET มากที่สุด 3 อันดับแรกในวันนี้ คือ บมจ.ปตท. หรือ PTT ปิดที่ 41.25 บาท +1.85%, บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ปิดที่ 378 บาท +4.71% และ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK ปิดที่ 115 บาท +4.55%  

 

ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ทิศทางของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะเป็นลักษณะของการแกว่งตัวออกข้าง ขณะที่การฟื้นตัวในวันนี้เป็นลักษณะของการรีบาวด์ทางเทคนิค (Technical Rebound) หลังจากที่ตลาดปรับฐานค่อนข้างแรงเกินไปเมื่อ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งติดลบไป 80 จุด จากความกังวลต่อการล็อกดาวน์ แต่ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ไม่ได้เร่งตัวขึ้นมากนัก จึงเห็นแรงซื้อกลับ

 

“โดยภาพรวมคิดว่าตลาด (SET) ไม่น่าจะไปไหนได้ไกลมาก คาดว่าดัชนี SET น่าจะวิ่งอยู่ในกรอบ 1,400-1,450 จุด สำหรับช่วงที่เหลือของปีนี้ เนื่องจากใกล้จะเข้าสู่วันหยุดยาว จึงไม่น่าจะเห็นฟันด์โฟลวเข้ามาช่วยผลักดัน ส่วนการฟื้นตัวในวันนี้เป็นแรงซื้อกลับในหุ้นกลุ่มแบงก์และพลังงาน ซึ่งเป็นสองกลุ่มหลัก หลังจากที่เริ่มคลายความกังวลลงมาบ้างในเรื่องของโควิด-19 ระลอกใหม่”

 

สำหรับหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BANK) ซึ่งปรับตัวขึ้นสูงสุดกว่า 3% ในวันนี้ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ยังคงให้น้ำหนักลงทุน ‘มากกว่าตลาด’ โดยมองเป็นหุ้นกลุ่มที่มีโอกาสฟื้นตัวได้ดีในปี 2564 หลังผ่านพ้นช่วงเร่งตั้งสำรองไปมากแล้ว และแนวโน้ม NPL ที่เพิ่มขึ้นในระดับที่บริหารจัดการได้ ขณะที่หากเกิดการระบาดครั้งใหม่ เรามองว่าแบงก์จะไม่เร่งตั้งสำรองขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา เพราะมีระดับ Coverage Ratio อยู่ในระดับที่แข็งแรงขึ้นจากเดิม

 

อีกทั้งปัจจุบันแบงก์มีข้อมูลของลูกค้าในกลุ่มเสี่ยงมากขึ้น ทำให้มีความสามารถในการติดตามและประเมินสถานะเพื่อให้การช่วยเหลือลูกหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม โดยเรายังแนะนำ บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม ด้วยราคาพื้นฐาน 151 บาท คาดกำไรฟื้นตัวได้ดีเทียบกับแบงก์ใหญ่อื่นๆ หนุนจากการรวมงบของ Permata เข้ามาเต็มปีเป็นครั้งแรก ขณะที่ฐานกำไรปี 2563 ที่ต่ำจากการเร่งตั้งสำรองก้อนใหญ่ และบันทึกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับ Permata ล่วงหน้า และพอร์ตสินเชื่อมีความเสี่ยงน้อยกว่ากลุ่ม เนื่องจากมีสัดส่วนลูกหนี้ SMEs และรายย่อยต่ำ

 

ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า สำหรับหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี คงมุมมองแนวโน้มกำไรปกติกลุ่มฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2564-2565 คาดเพิ่มขึ้น 194% และ 27% ตามลำดับ จากอัตรากำไรที่ฟื้นตัวของทั้งกลุ่ม ตามราคาขายเฉลี่ย ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ และปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นของอุปสงค์ 

 

อย่างไรก็ตาม จากราคาหุ้นในกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นเร็วจนส่วนใหญ่เต็มมูลค่าพื้นฐานปี 2564 และบางส่วนขึ้นไปรับความคาดหวังการฟื้นตัวกลับไปก่อนช่วงโควิด-19 จึงแนะนำให้ติดตามความเสี่ยงของการกลายพันธุ์เชื้อโควิด-19 หากไม่ใช่เพียงแพร่เร็วขึ้น แต่ทำให้อาการรุนแรงขึ้น และวัคซีนที่พัฒนาอยู่ไม่สามารถป้องกันได้ อาจส่งให้กลุ่มมีแรงกดดัน ทั้งนี้เราคงหุ้นเด่นเป็นกลุ่มต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันดิบฟื้นตัวเร็วสุด

 

 

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising