หุ้นไทยปรับลดลงราว 23 จุด แตะจุดต่ำสุดที่ 1,606 จุด ก่อนจะรีบาวด์ขึ้น แต่ยังเคลื่อนไหวในแดนลบ รับแรงกดดันจากเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ไต่ระดับสูงขึ้น สะท้อนราคาต้นทุนพลังงานที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปสู่สินค้าอุปโภคบริโภคในไทย และสร้างความกังวลว่า กนง. อาจต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น
ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET) วันนี้ (9 พฤษภาคม) ปรับตัวลงหลังจากเปิดการซื้อขายไปสักพัก โดยดัชนีหุ้นไทยร่วงลงมาทำจุดต่ำสุดของวันที่ระดับ 1,606 จุด ลดลง 22.59 จุด จากนั้นดัชนีรีบาวด์ขึ้นเล็กน้อย โดยยังคงเคลื่อนไหวในแดนลบ และมาปิดตลาดภาคเช้าที่ระดับ 1,614 จุด ลดลง 15.57 จุด หรือ 0.96%
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ได้รับแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่อยู่ระดับสูง ซึ่งมีต้นเหตุสำคัญมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ตามมาด้วยการคว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นวัตถุดิบต้นน้ำของหลายอุตสาหกรรม รวมถึงนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีน
ขณะที่ปัจจัยในประเทศมีมาตรการควบคุมราคาพลังงานหลายส่วนหมดอายุลง ทำให้ราคาปรับสูงขึ้นและกระทบเป็นลูกโซ่ไปที่สินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินว่า สถานการณ์ดังกล่าวเป็นตัวเร่งให้ กนง. อาจต้องพิจารณาเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น
ทั้งนี้ หากปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% จะส่งผลทำให้ระดับ PER เป้าหมายของตลาดหุ้นไทยลดลง 0.99 เท่า คิดเป็น SET Index ราว 88 จุด จากเป้าหมายเดิม 1,810 จุด
ฝ่ายวิจัยประเมินว่า SET Index ยังอยู่ในช่วงปรับฐานแนวรับแรกอยู่ที่ 1,617 จุด และแนวต้าน 1,633 จุด อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ถือเงินสดเพิ่มขึ้นเป็น 30%
เบญจพล สุทธิ์วนิช รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชียเวลท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายของ Fed ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ ซึ่งตลาดหุ้นทั่วโลกส่งสัญญาณตอบรับในเชิงลบ โดยไม่มั่นใจว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed จะสามารถลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อได้จริง
ทั้งนี้ ประเมินว่าตลอดเดือนพฤษภาคมนี้จนถึงกลางเดือนมิถุนายนที่จะมีการประชุมของ FOMC อีกครั้ง ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงหุ้นไทยยังคงเป็นขาลง เนื่องจากนักลงทุนยังคงรอดูท่าทีของ Fed และตัวเลขสำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
สำหรับหุ้นไทยวันนี้ มองแนวรับที่ 1,595-1,610 จุด และประเมินว่าตลอดทั้งเดือนพฤษภาคม 2565 หุ้นไทยอาจปรับตัวลดลงราว 5% จากฐานปัจจุบัน โดยแนะนำการลงทุนดังนี้
- กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า (ซื้อขายระยะสั้น 1-2 เดือน) เลือก ASIAN, SAPPE, SMPC, EPG, GFPT และ MEGA
- กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว (ซื้อขายระยะสั้น 1-2 เดือน) เลือก AOT, BAFS, BEM, AAV, BA, ERW, CENTEL, MINT, VRANDA และ SHR
- กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น (ซื้อขายระยะสั้น 1-3 เดือน) เลือก BLA และ TIPH
- Dividend Play (ซื้อขายระยะยาว มากกว่า 6 เดือน) เลือก KKP, TISCO, TCAP, LH, QH, AP, SPALI, ORI, RATCH และ TVO
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP