ตลาดหุ้นไทยพักตัวระยะสั้น หลังจากช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนปีนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นรวมใกล้เคียงระดับ 200 จุด แต่มองเศรษฐกิจไทยฟื้นหนุนหุ้นบวกได้ต่อปีหน้า 1,550 จุด
เอกภาวิน สุนทราภิชาติ นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นและตลาดอนุพันธ์ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า ตลาดหุ้นไทยเริ่มเห็นการพักตัวบ้างในระยะสั้น หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนปีนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นรวมใกล้เคียงระดับ 200 จุด
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยลบที่กระตุ้นแรงขายของนักลงทุนเข้ามา ทั้งสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ที่มีความรุนแรงจากกรณีที่อิหร่านมีการยิงขีปนาวุธใส่อิสราเอลและมีการใช้อาวุธตอบโต้กันไปมาเป็นระยะๆ
ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ออกมา เช่น ตัวเลขการจ้างงานเดือนกันยายนปีนี้ที่เพิ่มขึ้นได้ค่อนข้างแข็งแกร่งและออกมาสูงกว่าที่คาด ส่งผลให้คาดว่าการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ อาจจะมีการลดดอกเบี้ยลงเพียง 0.25%
ทั้งนี้ มีผลให้ค่าเงินดอลลาร์มีทิศทางแข็งค่าเมื่อเปรียบเทียบกับเงินบาทที่กลับมามีแนวโน้มอ่อนค่า อีกทั้งยังมีปัจจัยการแทรกแซงค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้ามาเพิ่มเติมด้วย ขณะที่เริ่มมีแรงขายของนักลงทุนต่างชาติเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ก่อน อีกทั้งยังคงเห็นแรงขายต่อเนื่องในสัปดาห์นี้
อย่างไรก็ดี เริ่มเห็นเม็ดเงินลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ที่เข้ามาช่วยประคองตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ในช่วงสัปดาห์ก่อน
คาด GDP ไทย ปี 2567 โต 3% ดันหุ้นปีหน้าไปต่อ 1,550 จุด
เอกภาวินยังประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยว่าจะมีกรอบร่างอยู่ที่ระดับ 1,430 จุด น่าจะยังเป็นแนวรับสำคัญที่เป็นโอกาสในการเข้าซื้อ โดยภาพรวมยังมีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยที่ดีต่อเนื่อง ทั้งผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่คาดว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ที่ออกมา
โดยเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ประกอบกับการขยายตัวของ GDP ไทย ที่ในปี 2566 มีตัวเลขการขยายตัวต่ำในระดับ 1.9 % ขณะที่ในปี 2567 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 2.5% และปี 2568 มีโอกาสที่จะขยายตัวในระดับ 3% ดังนั้นจึงประเมินว่าสิ้นปี 2567 ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะขึ้นไปแตะระดับ 1,500 จุดได้ และในปีหน้ามีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปถึงระดับ 1,550 จุดได้
แนะนำธีมลงทุนเน้นหุ้นปันผลดี มี ESG Ratings สูง
สำหรับธีมการลงทุนแนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่เป็นเป้าหมาย รวมทั้งได้อานิสงส์จากเม็ดเงินลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง โดยคัดกรองจากหุ้นในกลุ่ม รวมทั้งที่มีการจ่ายปันผลและมี Dividend Yield ในระดับ 3.5% ขึ้นไป
นอกจากนี้ยังมี ESG Ratings ในระดับ A ถึง AAA รวมถึงมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง อีกทั้งมีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่เติบโตดีต่อเนื่องในปี 2568 ได้แก่
- กลุ่มธนาคารพาณิชย์ คือ KTB
- กลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน คือ BCP
- กลุ่มสื่อสาร คือ ADVANC
ส่วนธีมอื่นๆ ที่มีความน่าสนใจในการลงทุนโดยให้อาศัยจังหวะราคาอ่อนตัวในการเข้าซื้อหุ้น Earning Play โดยเลือกจากหุ้นที่มีการเติบโตของโมเมนตัมกำไรที่ดีในไตรมาส 3 ปีนี้เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า ได้แก่
- หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล คือ BDMS
- หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า คือ GULF
อีกทั้งแนะนำ ธีมหุ้นที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยที่เป็นขาลง โดยคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการลดดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้จำนวนหนึ่งครั้ง ที่อัตรา 0.25% และคาดว่าในปีหน้าจะลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ได้แก่
- หุ้นกลุ่มลีสซิ่ง คือ MTC
- หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ คือ AP
- หุ้นกลุ่มค้าปลีกที่มีหนี้สูง คือ CPALL
โดยให้ใช้จังหวะในการเข้าซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัวที่ระดับแนวรับที่ 1,430-1,440 จุด
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามคือสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ที่มีความตึงเครียดในตะวันออกกลาง รวมถึงสถานการณ์สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ยังมีความขัดแย้งกันอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งติดตามผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันคะแนนนิยมของผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตกับพรรครีพับลิกันมีความสูสีกัน โดยภาวะปกติในช่วงที่มีการเลือกตั้งและก่อนการเลือกตั้งหากผู้สมัครมีคะแนนนิยมที่สูสีกันจะส่งผลกระทบให้ตลาดหุ้นมีความผันผวน ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวัง
มอง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ชนะเลือกตั้งสหรัฐฯ เป็นบวกต่อตลาดหุ้น
อย่างไรก็ดี มีมุมมองว่าผลการเลือกตั้งที่เป็นบวกต่อตลาดหุ้นคือกรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นประธานาธิบดี เนื่องจากมีนโยบายในการลดภาษี
ส่วนปัจจัยในประเทศมีมุมมองเป็นบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการขยายตัวของ GDP ที่มีอัตราเร่งขึ้น รวมถึงให้ติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนว่าจะมีการออกมาเพิ่มเติมหรือไม่ ถือเป็นปัจจัยบวก ประกอบกับภาพดอกเบี้ยที่เป็นขาลง ส่งผลให้การลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market: EM) มีความโดดเด่น ดังนั้นจึงมีโอกาสที่กระแสเงินทุนต่างชาติจะไหล (Fund Flow) เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นของเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังพัฒนา จากเดิมที่ตลาดหุ้นกลุ่ม EM จะเคลื่อนไหว Underperform หุ้นกลุ่มตลาดพัฒนาแล้ว (Developed Market: DM)
ขณะที่มองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยของหลายบริษัทยังสามารถซื้อเพื่อถือลงทุนได้ เนื่องจากมูลค่าของปัจจัยพื้นฐานปัจจุบันยังซื้อขายอยู่บนค่า PE Ratio ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต
อย่างไรก็ดี มีหุ้นที่ต้องระวังในการลงทุนในหุ้นอย่าง บมจ.ปลูกผักเพราะรักแม่ หรือ OKJ ที่เพิ่งเข้าซื้อ-ขายในวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ค่า PE Ratio ปรับเพิ่มขึ้นไปสูง ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวเกินราคาพื้นฐานไปมากพอสมควรแล้ว ดังนั้นควรหาจุดขายทำกำไร ส่วนผู้ที่สนใจเข้าลงทุนใน OKJ เพื่อถือลงทุนซื้อในระยะกลาง แนะนำให้ราคาปรับตัวลดลงมาที่ระดับประมาณ 10 บาท เป็นจังหวะในการเข้าซื้อลงทุน หลังจากปัจจุบันราคาหุ้นถือว่า Over Value มาพอสมควรแล้ว