×

จับตาทิศทางหุ้นไทยสัปดาห์นี้ หลัง MSCI ปรับน้ำหนักลงทุนมีผล 27 พฤษภาคม ด้านนักวิเคราะห์ประเมินต่างชาติเริ่มขยับพอร์ตแล้ว

24.05.2021
  • LOADING...
MSCI

ก่อนหน้านี้ MSCI ได้ประกาศปรับเปลี่ยนน้ำหนักการลงทุนของตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งตลาดหุ้นไทยถูกลดน้ำหนักลง 0.1% เหลือ 1.73% คิดเป็นเม็ดเงินลดลงราว 341 ล้านดอลลาร์ โดยในดัชนี MSCI Global Standard มีหุ้นที่ถูกนำเข้าคำนวณ ได้แก่ SCGP (คาดเม็ดเงินเพิ่มขึ้น 104 ล้านดอลลาร์) CBG (48 ล้านดอลลาร์) รวมถึงเพิ่มน้ำหนัก BH, STGT, KTC และ OSP คิดเป็นมูลค่าราว 6-22 ล้านดอลลาร์ต่อบริษัท

 

ส่วนหุ้นที่ถูกถอดออกคือ KBANK-F (ลดลง 210 ล้านดอลลาร์), DTAC (ลดลง 33 ล้านดอลลาร์) รวมถึงลดน้ำหนัก TU, EGCO, CPALL, SCC, CPN, INTUCH, KBANK, PTT คิดเป็นมูลค่าที่ลดลงราว 8-94 ล้านดอลลาร์

 

ในขณะที่ดัชนี MSCI Global Small Cap หุ้นที่ถูกเข้าคำนวณ นำโดย ACE, PSL, RCL, SCCC, SINGER, SYNEX, TTA, TOA ส่วนหุ้นที่ถูกถอดออกไม่มี ซึ่งการปรับน้ำหนักที่ว่านี้จะมีผล ณ สิ้นวันที่ 27 พฤษภาคม 2564

 

มงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ผลกระทบจากการปรับน้ำหนักหุ้นไทยตามดัชนี MSCI อาจจะไม่ได้มากนัก เพราะโดยปกติแล้ว MSCI จะปรับน้ำหนักตามมูลค่าหุ้นที่ขึ้นลง ซึ่งการถูกปรับน้ำหนักลงมาก็หมายความว่าราคาหุ้นปรับลดลงมาก่อนหน้านั้นแล้ว

 

“โดยปกติแล้วการปรับน้ำหนักจะกระทบกับหุ้นรายตัวที่ถูกเพิ่มเข้ามามากกว่า ส่วนหุ้นที่ถูกถอดออกจะถูกขายมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้มูลค่าของหุ้นลดลงจนหลุดออกไป ส่วนวันที่มีผล 27 พฤษภาคมนี้ เป็นเหมือนกับวันส่งมอบหุ้นจากผู้ที่จัดหาหุ้นให้กับกองทุนที่ต้องการหุ้นนั้นๆ โดยธุรกรรมมักจะเป็นการส่งคำสั่งแบบ ATC”

 

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยเวลานี้ไม่ค่อยดีนัก เพราะแวดล้อมไปด้วยปัจจัยลบ ขณะเดียวกันก็ไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามา ปัจจัยลบสำคัญที่กดดันคือการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ซึ่งสร้างความเสียหายเยอะมาก และยังไม่มีส่วนชดเชยใดๆ ขณะเดียวกันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะควบคุมได้

 

“หากดูตัวบ่งชี้หลักสองตัวคือ การขายหุ้นของต่างชาติอย่างต่อเนื่อง และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ในขณะที่ภาพรวมของเงินดอลลาร์ก็อ่อนค่าด้วย สะท้อนให้เห็นว่าเงินบาทกำลังอ่อนค่าด้วยตัวเอง”

 

ในระยะ 1 เดือนข้างหน้านี้ เชื่อว่าจะยังไม่เห็นต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ ซึ่งเป็นภาพที่คล้ายกันของตลาดในเอเชีย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโควิด-19 ที่กลับมาระบาดอีกครั้งในหลายประเทศ 

 

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยยังถือว่ายืนอยู่ได้แข็งแกร่งกว่าตลาดที่ใกล้เคียงกันอย่าง อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ทั้งนี้คาดว่าตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นจะแกว่งในกรอบแคบๆ ประมาณ 1,535-1,575 จุด โดยนักลงทุนยังคงเน้นเก็งกำไรระยะสั้นและหมุนเวียนกลุ่มหุ้นเล่นไปเรื่อยๆ 

 

ด้าน วิริยะชัย จิตตวัฒนรัตน์ Vice President Market Solution, Private Wealth Management ธนาคารกรุงไทย มองว่า ผลกระทบจากการปรับน้ำหนักครั้งนี้ไม่น่าจะมากนัก เพราะนักลงทุนต่างชาติ Underweight หุ้นไทยมาตั้งแต่ปีก่อน การปรับน้ำหนักลงเล็กน้อยจึงไม่น่าจะกระทบมากนัก แต่หุ้นที่ถูกปรับเข้าจะได้ผลบวกมากกว่า

 

โดยภาพรวมตลาดหุ้นไทยเวลานี้ยังขาดปัจจัยหนุนในแง่ปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวซึ่งมีเครื่องหมายคำถามใหญ่ว่าจะกลับมาทันปีนี้หรือไม่ ซึ่งในส่วนนี้ต้องติดตามว่าวัคซีนจะกระจายได้มากขึ้นหรือไม่ ส่วนการส่งออกเชื่อว่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะดีมานด์จากฝั่งยุโรปและสหรัฐฯ ที่เริ่มกลับมา 

 

“Sentiment ของตลาดหุ้นไทยระยะข้างหน้า ขึ้นอยู่กับว่าการกระจายวัคซีนทำได้เร็วมากน้อยเพียงใด ตอนนี้คิดว่าการลงทุนในตลาดหุ้นยังมองตลาดต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะยุโรปและญี่ปุ่น ทั้งแรงหนุนจากการเปิดประเทศและการที่มีหุ้นวัฏจักรเยอะ”

 

นอกจากนี้ธีมการลงทุนหนึ่งที่น่าสนใจคือ หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม หลังจากการศึกษาในช่วงที่ผ่านมา พบว่าสินค้าเหล่านี้มีโอกาสจะได้แรงหนุนจากกำลังซื้อที่อัดอั้นอยู่ก่อนหน้านี้ หลังจากที่ผู้คนไม่ได้ช้อปปิ้งหรือท่องเที่ยวในช่วงที่ผ่านมา 

 

ด้าน วิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มองว่า การปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยของ MSCI มีโอกาสที่จะลดลงเรื่อยๆ ในระยะกลางถึงระยะยาว เนื่องจาก MSCI จะทยอยเพิ่มน้ำหนักของหุ้นจีน A-Share มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หุ้นในกลุ่มตลาดเกิดขึ้นจะถูกทยอยลดน้ำหนักลง 

 

“ในส่วนนี้เป็นประเด็นหนึ่งที่กดดัน แต่นักลงทุนต้องดูประกอบกัน ทั้งการให้น้ำหนักของ MSCI ซึ่งจะกระทบต่อการลงทุนของกองทุน Passive Fund และต้องดูปัจจัยพื้นฐานของแต่ละตลาดประกอบด้วย” 

 

ช่วงก่อนหน้านี้จะเห็นว่าตลาดหุ้นเกิดใหม่ยังเป็นตลาดที่หลายคนมองว่าน่าสนใจ ส่วนหนึ่งจากการที่มองว่าการฟื้นตัวของจีนจะช่วยดึงให้ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคฟื้นได้เร็ว

 

แต่ล่าสุดจะเห็นว่าสหรัฐฯ และประเทศในกลุ่มยุโรปฟื้นตัวได้เร็วกว่ามากหลังการกระจายวัคซีน ขณะที่ฝั่งเอเชียกลับเจอการระบาดระลอกใหม่อย่าง อินเดียและไต้หวัน ทำให้ Sentiment การลงทุนแย่ลงไป 

 

“อย่างไรก็ตาม หากตลาดปรับฐานลงในระยะสั้น และเราเชื่อว่าทุกอย่างจะเริ่มฟื้นได้ในวันหนึ่ง การปรับฐานจะเป็นโอกาสในการซื้อ” 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising