×

ไทยผนึกกำลังเร่งตรวจสอบเส้นทาง ‘คริปโตเทา’ ปปง.ชี้แจงกฎหมายไทยยึดเงินเทาต้องมี ‘หลักฐานชัด’

15.10.2025
  • LOADING...
ไทยผนึกกำลังเร่งตรวจสอบเส้นทาง คริปโตเทา ปปง.ชี้แจงกฎหมายไทยยึดเงินเทาต้องมี หลักฐานชัด

‘เอกนิติ’ รองนายกฯ – รมว.คลัง เผยยังไม่ได้พูดคุยเกี่ยวกับ ‘แนวทางยึดคริปโตเคอร์เรนซี’ แต่ตั้งเป้าสรุปกรอบการทำงานโครงการ Connect The Dots เพื่อเร่งหาต้นตอ ‘เงินไม่รู้ที่มาที่ไป’ ให้แล้วเสร็จภายในธ.ค. ขณะที่ ‘ดร.พรอนงค์’ เลขาธิการ ก.ล.ต รอคลอดกฎหมาย Travel Rule หวังตรวจสอบเส้นทางการเงินของคริปโตฯ ด้านโฆษก ปปง. ตอบปมสหรัฐฯ ยึด Bitcoin แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา โดยชี้แจงว่ากฎหมายฟอกเงินของไทยแตกต่างจากสหรัฐฯ โดยการจับยึดเงินเทาต้องมี ‘หลักฐานชัด’ แค่สงสัยเอาผิดไม่ได้

 

วันนี้ (15 ตุลาคม) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม. เศรษฐกิจ) นัดแรก โดยระบุว่า ยังไม่มีการพูดคุยเกี่ยวกับแนวทางยึด ‘คริปโตเคอร์เรนซี’

 

อย่างไรก็ตาม ดร.เอกนิติได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการการเชื่อมโยงข้อมูล (Connect the Dots) เพื่อติดตามกระแสเงินทุนไหลเข้าและออกประเทศที่ไม่รู้ที่มาที่ไป (Net Errors and Omissions:NEO) ที่อาจมีความเสี่ยงเป็นเงินทุนสีเทา โดยระบุว่า แล้วเมื่อวันจันทร์ที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้มีการหารือกับ วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แล้ว

 

สำหรับระยะต่อไป ดร.เอกนิติเตรียมทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กับ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพิ่มเติม เพื่อให้เข้ามาร่วมกำหนดกรอบกติกาการทำงานร่วมกัน

 

พร้อมทั้งตั้งเป้าว่า กรอบการทำงานดังกล่าวจะต้องเสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคมนี้ และจะถูกนำมารายงานในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจด้วย

 

ทั้งนี้ การให้สัมภาษณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจาก กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ยื่นฟ้องเพื่อริบทรัพย์สินทางแพ่งครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยการยึด Bitcoin จำนวนประมาณ 127,271 BTC จากเฉิน จื้อ (Chen Zhi) หรือที่รู้จักในชื่อ วินเซนต์ (Vincent) วัย 37 ปี สัญชาติอังกฤษและกัมพูชา ผู้ก่อตั้งและประธานของ Prince Holding Group (Prince Group) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทข้ามชาติที่มีฐานอยู่ในประเทศกัมพูชา ในข้อหาสมคบคิดกันฉ้อโกงผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์และสมคบคิดกันฟอกเงิน จากการบงการเครือข่าย ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ ที่ใช้แรงงานที่ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวโดยไม่สมัครใจ ในการหลอกลวงการลงทุนคริปโตในรูปแบบ ‘Pig Butchering’ สร้างความเสียหายหลายพันล้านดอลลาร์จากเหยื่อในสหรัฐฯ และทั่วโลก

 

โดยการดำเนินการครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยหน่วยงานของสหรัฐฯ เพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นการประสานงานในระดับนานาชาติ โดยสหราชอาณาจักรก็ได้ประกาศมาตรการคว่ำบาตรต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ Prince Group เช่นกัน

 

ปปง. เผยความคืบหน้า คณะทำงาน Connect the Dots จะมีความชัดเจนภายใน 1 เดือน

 

วิทยา นีติธรรม ผู้ช่วยเลขาธิการและโฆษกประจำสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ถึงความคืบหน้าของการดำเนินงานของคณะทำงาน Connect the Dots ที่มีกระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพหลักว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงมีการหารือทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง โดยคณะทำงานนี้ประกอบด้วย ปปง. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมทั้งกระทรวงการคลัง และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

วิทยาระบุว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดในเชิงลึกได้ เนื่องจากกระบวนการทำงานมีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน และจำเป็นต้องสร้างความเห็นพ้องร่วมกัน เพราะข้อมูลที่แต่ละหน่วยงานมีอาจแตกต่างกัน เช่น ข้อมูลที่ ปปง. มีอาจไม่ตรงกับข้อมูลของ ธปท. หรือ ก.ล.ต.

 

ขณะนี้คณะทำงานกำลังอยู่ในช่วงของการแบ่งภารกิจกันทำ และจะนำข้อมูลมาแบ่งปันและพูดคุยกันอีกครั้งในภายหลัง

 

วิทยาได้เล่าถึงกรอบการทำงานในเชิงหลักการ โดยระบุว่า ปปง. ได้ติดตามและตรวจสอบเรื่องที่เป็นข่าวมาโดยตลอด ตั้งแต่ประเด็นการแข็งค่าของเงินบาท ว่าสาเหตุมาจากเรื่องทองคำหรือเป็นเงินเทาหรือไม่ และการไล่ยอดเงินคงเหลือของเงินเทาโดย ธปท. รวมถึงการตรวจสอบว่าเรื่องเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัล หรือไม่

 

ทั้งนี้ ธปท. และ ก.ล.ต. ได้เคยให้ข้อมูลว่าปัญหาดังกล่าวไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับคริปโต แต่ขอเวลาในการตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียด

 

สำหรับการดำเนินการด้านความมั่นคงและการตรวจสอบในเรื่องเหล่านี้ จะเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ได้แก่ หน่วยงานความมั่นคง เช่น ตำรวจ, กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และ ปปง. ส่วนในเรื่องของสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) จะเป็นส่วนงานของ ก.ล.ต. ที่ต้องเข้ามาร่วมแบ่งปันและพูดคุยกัน

 

วิทยาได้ยืนยันว่า ข้อมูลเรื่องความคืบหน้าจะมีความชัดเจนภายใน 1 เดือนนี้ สอดคล้องกับที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนดกรอบเวลาไว้

 

นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตกลงร่วมกันว่าจะไม่แยกกันให้ข่าว โดยอาจจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง หรือบุคคลที่รัฐมนตรีมอบหมายที่จะเป็นผู้ให้ข้อมูลต่อสาธารณะ

 

กฎหมายไทยไม่เหมือนสหรัฐฯ! ปปง. ชี้จับเงินเทาต้องมี ‘หลักฐานชัด’ แค่สงสัยเอาผิดไม่ได้

 

เมื่อมีการสอบถามถึงกรณีที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ​ตั้งข้อหา เฉิน พร้อมยึด Bitcoin จำนวนประมาณ 127,271 BTC วิทยาชี้แจงว่า สำหรับกรณีดังกล่าว หากเปรียบเทียบกับในประเทศไทย ถือว่ามีความแตกต่างในเรื่องของกฎหมายในหลายประการ และเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน จึงยังไม่สามารถพูดรายละเอียดได้

 

วิทยายังระบุว่า เรื่องเหล่านี้หรือประเด็นการฟอกเงินที่ผิดกฎหมาย เป็นเรื่องที่หน่วยงานความมั่นคงของไทยติดตามมานานแล้ว แต่มีข้อจำกัดด้านข้อกฎหมาย โดยสรุปคือ กฎหมายของไทยมีความจำเป็นต้องมี ‘พยานหลักฐานที่ชัดเจน’ ในการดำเนินการ

 

ในทางกลับกัน กฎหมายของสหรัฐฯ มีความรุนแรง และสามารถดำเนินการได้หากใช้เพียงเหตุอันควรสงสัย แต่สำหรับประเทศไทย การใช้เพียงแค่เหตุสงสัยไม่สามารถทำได้

 

เหตุผลที่กฎหมายไทยไม่ได้ใช้ความเข้มงวดสูงเกินไปนั้น ส่วนหนึ่งมาจากประเด็นความไม่ไว้ใจต่อตัวผู้ใช้กฎหมายเอง หากกฎหมายแรงเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อบุคคลที่สุจริตได้ ดังนั้น ปปง. จึงต้องดูว่าอะไรอยู่ในบริบทที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย โดยคำนึงถึงกระแสสังคมที่กำลังจับตาดูอยู่

 

ก.ล.ต. รอคลอดกฎหมาย Travel Rule หวังใช้ไล่เส้นทางเงินคริปโต

 

ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ยืนยันว่ากระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพหลัก และได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ โดยที่ผ่านมาได้มีการประชุมร่วมกันแล้ว 1 รอบ ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแบ่งปันข้อมูล ระหว่างหน่วยงานไปแล้ว

 

ดร.พรอนงค์ เชื่อว่า แนวทางการจัดตั้งคณะทำงานดังกล่าวมีความชัดเจนแล้ว และแต่ละหน่วยงานมีความชัดเจนในการที่จะเข้าร่วม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถเห็นผลที่เป็นรูปธรรม ทั้งนี้ เนื่องจากคณะทำงานถูกแต่งตั้งโดยกระทรวงการคลัง เป็นเจ้าภาพ ก.ล.ต. จึงขอให้กระทรวงการคลังเป็นผู้เผยแพร่ผลของการดำเนินงานดังกล่าว ในส่วนของ ก.ล.ต. นั้น การเข้าร่วมการเชื่อมโยงข้อมูลครั้งนี้เน้นไปที่คริปโทเคอร์เรนซี เป็นหลัก

 

เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวย้ำว่า หากธุรกรรมเกิดขึ้นผ่านผู้ประกอบธุรกิจที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ซึ่งก.ล.ต. มีความมั่นใจในธุรกรรมเหล่านั้น เนื่องจากผู้ประกอบธุรกิจมีกลไกการกำกับดูแลและการรายงานข้อมูล ซึ่งไม่ได้รายงานเฉพาะต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เท่านั้น แต่บางกรณีต้องรายงานไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตามเงื่อนไขและเกณฑ์ที่กำหนดไว้

 

สำหรับการยกระดับการกำกับดูแลอย่างต่อเนื่องในคริปโทเคอร์เรนซี สิ่งที่ ก.ล.ต. ต้องการเดินหน้าต่อไปคือ การนำกฎหมาย Travel Rule ที่อยู่ระหว่างการปรับแก้ไขซึ่งเป็นกฎหมายของ ปปง. นำมาใช้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของคริปโทเคอร์เรนซี ปัจจุบันคณะทำงานมีความเห็นตรงกันว่าจะเร่งดำเนินการเรื่องนี้ให้เร็วขึ้น

 

โดยการมี Travel Rule จะช่วยให้สำนักงานสามารถติดตามธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานที่เป็นเอกชนหรือภาคส่วนที่ไม่ถูกกำกับดูแลได้ดีขึ้น

 

ดร.พรอนงค์ ระบุว่า สำนักงาน ก.ล.ต. พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจในการเดินตามกฎเกณฑ์นี้ และจะเร่งรัดให้กฎเกณฑ์ออกมาเร็วขึ้น เนื่องจากหากรอตามแผนเดิม กฎหมายหลายตัวอาจดำเนินการไม่เป็นไปตามกำหนด ดังนั้น อาจจะต้องพิจารณาในเรื่องของกฎกระทรวง หรือข้อตกลงร่วมกันของผู้ประกอบธุรกิจไปก่อนเพื่อยกระดับในการกำกับดูแล

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising