ในขณะที่รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล กำลังอยู่ในช่วงจัดทำนโยบายและทีมเศรษฐกิจ สมาคมผู้ค้าปลีกไทยได้ยื่นข้อเสนอเชิงนโยบายเร่งด่วน หรือ ‘Quick Win’ เพื่อให้รัฐบาลพิจารณานำไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี
ทางสมาคมฯ มองว่าภาคค้าปลีกซึ่งมีมูลค่ากว่า 4 ล้านล้านบาท ถือเป็น ‘เส้นเลือดใหญ่’ ของเศรษฐกิจประเทศ เนื่องจากเป็นกลไกที่เชื่อมโยงทั้งภาคการผลิต การบริการ และการจ้างงานประชาชนนับล้านชีวิต การกระตุ้นภาคส่วนนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาพรวมเศรษฐกิจ
ณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ได้แสดงความยินดีกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลและทีมงานมีศักยภาพที่จะกำหนดแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง
สำหรับมาตรการที่สมาคมฯ เสนอไปนั้นถูกออกแบบมาให้เกิดผลกระทบเชิงบวกในวงกว้าง ไม่เพียงแต่ช่วยเหลือผู้บริโภค แต่ยังสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs เกษตรกร และแรงงานทุกระดับชั้น เพื่อสร้างงาน เพิ่มกำลังซื้อ และกระตุ้นการหมุนเวียนของเงินในระบบ
ข้อเสนอแรกมุ่งเน้นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ เพื่อสร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันหลายทอด หรือที่เรียกว่า ‘Multiplier Effect’ ซึ่งจะช่วยให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
โดยเสนอให้ดำเนินโครงการ ‘คนละครึ่ง’ เวอร์ชันอัปเกรด ซึ่งทางสมาคมฯ มองว่าจะเป็น ‘ยาแรง’ ที่ช่วยอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมานานได้อย่างตรงจุด โดยเสนอให้ขยายโครงการให้ครอบคลุมทุกประเภทร้านค้า และเพิ่มวงเงินใช้จ่ายต่อวันจาก 150 บาท เป็น 300 บาท โดยกำหนดวงเงินเดือนละ 1,500 บาทเป็นเวลา 2 เดือน (ตุลาคม-พฤศจิกายน)
นอกจากนี้ ยังเสนอให้เดินหน้าโครงการ ‘Easy e-Receipt’ เฟส 2 ในช่วงปลายปี เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงไฮซีซั่น โดยให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีสูงสุด 100,000 บาทต่อคน เป็นเวลา 3 เดือน (ตุลาคม-ธันวาคม) ซึ่งคาดว่าจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้กว่า 1 แสนล้านบาท
ข้อเสนอที่สองมุ่งส่งเสริมให้ไทยเป็น ‘Shopping Paradise’ สำหรับนักท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มการใช้จ่ายต่อหัวและสร้างความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่นในภูมิภาค โดยเสนอให้ลดภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์จากปัจจุบันที่สูงถึง 20-30% ซึ่งสูงสุดในภูมิภาคอาเซียนลงมาอยู่ที่ประมาณ 10-15%
การปรับลดภาษีดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวหันมาจับจ่ายซื้อสินค้าในประเทศไทยมากขึ้น นอกเหนือจากการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวชมธรรมชาติและวัฒนธรรม ซึ่งจะทำให้ไทยสามารถแข่งขันกับสิงคโปร์และมาเลเซียซึ่งมีอัตราภาษีดังกล่าวเป็น 0% ได้ดีขึ้น
พร้อมกันนี้ ยังเสนอให้มีมาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแบบทันที (Instant VAT Refund) ณ ร้านค้า สำหรับนักท่องเที่ยวที่มียอดซื้อขั้นต่ำ 3,000 บาท เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง และขยายระยะเวลาวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียจาก 30 วัน เป็น 45-60 วัน เนื่องจากนักท่องเที่ยวรัสเซียเป็นกลุ่มคุณภาพที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูงและนิยมพำนักระยะยาว
ข้อเสนอสุดท้ายคือการกระตุ้นการจ้างงานผ่านนโยบาย ‘การจ้างงานรายชั่วโมง’ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการว่างงานในกลุ่มนักศึกษาและผู้สูงอายุ ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารต้นทุนแรงงานได้อย่างคล่องตัวมากขึ้นในช่วงเวลาที่มีลูกค้าหนาแน่น และเสริมความแข็งแกร่งให้ตลาดแรงงานไทยในภาพรวม
ภาพ: ฐานิส สุดโต / THE STANDARD