×

สภากาชาดแจงปมจัดหาวัคซีน Moderna ฉีดให้ประชาชนฟรี ไม่ได้ขายต่อเพื่อค้ากำไร

โดย THE STANDARD TEAM
06.10.2021
  • LOADING...
Moderna

วันนี้ (6 ตุลาคม 2564) สภากาชาดไทย ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีวัคซีน Moderna โดยระบุว่าตามที่มีสื่อมวลชนบางสำนักได้เสนอข่าว เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2564 โดยอ้างอิงข้อความในเฟซบุ๊กของผู้ใช้นาม Sarinee Achavanuntakul – สฤณี อาชวานันทกุล ซึ่งเขียนข้อความทำนองว่าสภากาชาดไทยใช้เงินของตัวเองจองโควตาวัคซีนป้องกันโรคโควิด Moderna ผ่านองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เพื่อนำมาขายต่อให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ทั่วประเทศนั้น

 

ข้อความและข่าวดังกล่าวอาจก่อให้เกิดความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องต่อการดำเนินงานของสภากาชาดไทย ดังนั้นสภากาชาดไทยจึงขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้

 

  1. สภากาชาดไทยเป็นองค์กรการกุศลที่มีรายได้เป็นเงินบริจาคจากพี่น้องประชาชน และได้รับเงินงบประมาณอุดหนุนจากรัฐบาลอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งสภากาชาดไทยไม่ได้เป็นหน่วยงานภาครัฐโดยตรง

 

  1. เดือนเมษายน 2564 ท่ามกลางสถานการณ์โรคโควิดที่มีการระบาดรุนแรงมากขึ้น สภากาชาดไทยได้ริเริ่มจัดหาวัคซีนมาฉีดให้แก่ประชาชน โดยได้ติดต่อกับหน่วยงานกาชาดในต่างประเทศและบริษัทผู้จำหน่ายวัคซีน เพื่อจัดหาหรือขอซื้อวัคซีนมาฉีดให้แก่ประชาชนตามภารกิจของสภากาชาดไทย

 

  1. ผลการประสานงานกับ บริษัท ซิลลิค ฟาร์มา จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายวัคซีน Moderna ในประเทศไทย ได้ตกลงจะขายวัคซีนจำนวน 1 ล้านโดสให้แก่สภากาชาดไทย แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องซื้อผ่านหน่วยงานของรัฐ คือองค์การเภสัชกรรม จึงจะขายให้ได้ เพราะเป็นนโยบายของบริษัทแม่ในสหรัฐอเมริกา

 

  1. องค์การเภสัชกรรมได้คิดราคาขายวัคซีนให้แก่สภากาชาดไทย จำนวน 1 ล้านโดส ในราคาโดสละ 1,100 บาท โดยสภากาชาดไทยได้ใช้งบประมาณของสภากาชาดไทยในการสั่งซื้อวัคซีนดังกล่าวจำนวน 100,000 โดส เพื่อมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดสภากาชาดไทยไปบริการฉีดให้แก่ประชาชนโดยไม่คิดมูลค่า รวมทั้งได้เชิญชวนหน่วยงานทางการแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ จำนวน 12 แห่ง ร่วมซื้อด้วย รวมจำนวน 150,000 โดส

 

นอกจากนี้สภากาชาดไทยได้เชิญชวนให้ อบจ. ทั้ง 76 จังหวัด มาร่วมกับสภากาชาดไทยในการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในต่างจังหวัดโดยไม่คิดมูลค่า ซึ่งปรากฏว่ามี อบจ. จำนวน 38 จังหวัด แสดงความจำนงขอร่วมกับสภากาชาดไทยในการซื้อวัคซีนจำนวน 750,000 โดส จากองค์การเภสัชกรรมผ่านสภากาชาดไทย โดยไม่มี อบต. เข้าร่วมโครงการนี้

 

  1. สภากาชาดไทยทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดหาวัคซีนให้หน่วยงานในสังกัด และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงเรียนแพทย์ และ อบจ. จำนวน 38 จังหวัด เพื่อนำวัคซีนรวม 1 ล้านโดสมาฉีดให้กับประชาชนโดยไม่คิดมูลค่าเท่านั้น ไม่ได้เป็นการนำวัคซีนมาขายต่อโดยเรียกเก็บเงินค่าวัคซีน Moderna เกินกว่าราคาโดสละ 1,100 บาทที่ซื้อผ่านองค์การเภสัชกรรมแต่อย่างใด ซึ่งเรื่องนี้สภากาชาดไทยได้ประกาศเปิดเผยต่อสาธารณชนมาตลอด สามารถตรวจสอบราคาที่สภากาชาดไทยซื้อได้จากองค์การเภสัชกรรม ทั้งนี้องค์การเภสัชกรรมและ บริษัท ซิลลิค ฟาร์มา จำกัด แจ้งว่าจะเริ่มทยอยส่งวัคซีนให้สภากาชาดไทยและหน่วยงานต่างๆ ได้ประมาณเดือนพฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป

 

  1. ในเดือนมิถุนายน 2564 ศูนย์บริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ทำเนียบรัฐบาล ได้มีคำสั่งให้หน่วยงานด้านการแพทย์ ซึ่งรวมถึงสภากาชาดไทยด้วย ให้เร่งรัดจัดหาวัคซีนมาฉีดให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง สภากาชาดไทยจึงได้มีหนังสือถึงรัฐบาลขอรับการสนับสนุนงบประมาณอุดหนุนให้แก่สภากาชาดไทยจำนวน 946 ล้านบาท เพื่อนำไปจองซื้อวัคซีน Moderna รุ่นใหม่ในปี 2565 จำนวน 1 ล้านโดส โดยมีแผนดำเนินงานเพื่อนำวัคซีนมาให้หน่วยงานในสังกัดสภากาชาดไทยนำไปฉีดให้แก่ประชาชนโดยไม่คิดมูลค่าเช่นกัน

 

ดังนั้นการจัดหาวัคซีนของสภากาชาดไทยทั้ง 2 โครงการ คือ โครงการแรก จำนวน 1 ล้านโดส ซึ่งใช้งบประมาณของสภากาชาดไทย หน่วยงานทางการแพทย์ และ อบจ. ในการจัดซื้อวัคซีน ซึ่งจะเริ่มฉีดให้แก่ประชาชนในปี 2564 เป็นต้นไป และโครงการที่ 2 จำนวน 1 ล้านโดส ซึ่งใช้งบประมาณอุดหนุนจากรัฐบาลนั้น จะนำไปฉีดให้แก่ประชาชนโดยไม่คิดมูลค่าในปี 2565 จึงไม่ได้เป็นการนำวัคซีนดังกล่าวไปแสวงหากำไรด้วยการนำไปขายต่อให้แก่ อบจ. หรือองค์กรใดๆ ในราคาสูงกว่าต้นทุนที่สภากาชาดไทยจ่ายให้แก่องค์การเภสัชกรรมแต่อย่างใด

 

จึงเห็นได้ว่าสภากาชาดไทยได้ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานกับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ในการจัดหาวัคซีนมาฉีดให้แก่ประชาชนโดยไม่คิดมูลค่า เพื่อให้ประชาชนปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด รวมทั้งสภากาชาดไทยยังได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ในการใช้งบประมาณของสภากาชาดไทยในการจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคที่เรียกว่า ชุดธารน้ำใจสภากาชาดไทย ไปมอบให้กับประชาชนที่มีรายได้ไม่เพียงพอและต้องกักตนเองที่บ้านพัก หรือที่ทางราชการจัดสถานที่ไว้ให้พักเป็นเวลา 14 วัน (Local and State Quarantine) ตั้งแต่การระบาดรอบเเรก เมื่อเดือนมกราคม 2563 เป็นต้นมา ผ่านเหล่ากาชาดจังหวัดทั่วประเทศ รวมมูลค่ากว่า 250 ล้านบาทแล้ว

 

นอกจากนี้ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2564 เป็นต้นมา สภากาชาดไทยยังได้ร่วมกับสำนักงานหลักประกันแห่งชาติ (สปสช.) หน่วยงานภาครัฐต่างๆ และกรุงเทพมหานคร รวมทั้งกลุ่มอาสาสมัครภาคประชาชน จัดทำโครงการให้คำปรึกษาด้านการรักษาพยาบาลผ่านระบบโทรศัพท์ (Telemedicine) ให้แก่ผู้ป่วยโควิดที่อาการไม่รุนแรงซึ่งพักอยู่ที่บ้าน (Home Isolation) รวมทั้งจัดบริการส่งยาฟาวิพิราเวียร์และอาหารให้แก่ผู้ป่วยดังกล่าวแล้วไม่น้อยกว่า 16,000 ราย

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X