หากนับกรอบเวลาตามกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งกำลังจะมีผลประกาศใช้ในวันที่ 11 ธันวาคม 2561 ได้กำหนดไว้ว่า ผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนฯ จะต้องสังกัดพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง และหากการเลือกตั้งเกิดขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ตามที่ฝ่ายรัฐบาลและ กกต. ได้วางโรดแมป และเน้นย้ำต่อหน้าสื่อก็หมายความว่า นักการเมืองต้องหาพรรคปักหลักก่อนวันที่ 26 พฤศจิกายน เพื่อให้ตัวเองไม่ขาดคุณสมบัติ
ความแจ่มชัดแรกที่กูรูการเมืองมองตรงกันคือ พรรคพลังประชารัฐ ที่มี 4 รัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นหัวหอกบริหาร หากได้รับการรับรองให้เป็นพรรคการเมืองตามกฎหมายก่อน 26 พฤศจิกายน ก็ฟันธงได้เลยว่าการเลือกตั้งจะเป็นวันที่ 24 กุมภาพันธ์แน่นอน เพราะต้องหาสมาชิกให้ทันก่อน 90 วัน แต่ขณะเดียวกันก็มีเสียงมองว่าโอกาสขยับก็ยังมี
แต่ไม่ว่าจะขยับหรือไม่ วันนี้ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ มีนักการเมืองหลายคนจากเพื่อไทยขยับออกมาจับมือกันเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ เปิดตัว ‘ไทยรักษาชาติ’ เป็นพรรคการเมืองอีกหนึ่งทางเลือกในศึกเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง และแน่นอนว่าหากอดีต ส.ส. พรรคเพื่อไทย หรือผู้ที่สนใจลงสมัครรับเลือกตั้งจะเสนอตัวเป็นผู้แทน ก็ต้องมาสมัครสมาชิกพรรคนี้ก่อน 26 พฤศจิกายนเช่นกัน
การเกิดขึ้นของ ‘ไทยรักษาชาติ’ หรือ ทษช. ถูกมองว่าเป็นพรรคสาขาที่แยกตัวออกมาจากพรรคใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทย ซึ่งปฏิเสธข้อเท็จจริงไม่ได้ว่า แกนนำหลายคนล้วนเคยสังกัดค่ายเดิมมาทั้งนั้น
เหตุผลที่หลายคนได้รับฟังมาทั้งจากแหล่งข่าวและการวิเคราะห์จากสื่อถึงจังหวะการขยับนี้ก็คือ กลัวพรรคเพื่อไทยถูกยุบ ซึ่งหากเกิดขึ้นก่อนหรือระหว่างเลือกตั้ง จะทำให้ผู้สมัครและอดีต ส.ส. ทั้งหมด ‘ตาย’ ยกแผง กับอีกเหตุผลก็คือ ระบบกฎหมายที่ออกแบบให้พรรคการเมืองต้องอ่อนแอ ได้ผู้แทนจากเขตมาก ในทางกลับกันจะทำให้ได้ผู้แทนแบบสัดส่วนน้อยหรือไม่ได้เลย เพื่อกันไม่ให้คะแนนต้องตกน้ำ ก็ต้องแตกพรรค แยกสายแม่น้ำก่อนไหลมารวมกันในอนาคต
โฟกัสไปที่หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหาร มีรายชื่อที่น่าสนใจคือ ร้อยโท ปรีชาพล พงษ์พานิช (บุตรชายระเบียบรัตน์และเสริมศักดิ์) เป็นว่าที่หัวหน้าพรรค นายมิตติ ติยะไพรัช (บุตรชายยงยุทธ) เป็นว่าที่เลขาธิการพรรค นายพงศ์เกษม สัตยาประเสริฐ (ผู้ประกาศข่าวช่องวัน) เป็นว่าที่โฆษกพรรค นายฤภพ ชินวัตร (บุตรชายพายัพ) เป็นรองหัวหน้าพรรค นายต้น ณ ระนอง (บุตรชายกิตติรัตน์) รองเลขาธิการพรรค นายพชร นริพทะพันธุ์ (บุตรชายพิชัย) นางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ (ภรรยาธาริต เพ็งดิษฐ์) เป็นเหรัญญิกพรรค
รวมทั้งยังมีการปรากฏตัวของอดีต ส.ส. พรรคเพื่อไทยหลายคน เช่น นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, นางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ, นางสาวสุณีย์ เหลืองวิจิตร อดีตเลขาธิการพรรคเพื่อไทย, นายพิชิต ชื่นชาน อดีต ส.ส. บัญชีรายชื่อ, พล.ต.ต. สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ อดีตผู้อำนวยการกองสลากกินแบ่งรัฐบาล
โดยมีวาระการประชุมคือ การแก้ไขข้อบังคับข้อ 8 สำนักงานใหญ่พรรคเปลี่ยนสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่, เลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคทั้งคณะรวมทั้งหัวหน้าพรรค, เลือกตั้งคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ร้อยโท ปรีชาพล เปิดใจกับสื่อมวลชนหลังเสร็จสิ้นขั้นตอนตามกฎหมาย โดยยืนยันว่าไม่ได้เป็นการฮั้วกันกับพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใด พรรคไทยรักษาชาติพร้อมคุยทุกฝ่ายที่มีแนวทางยึดมั่นต่อหลักการประชาธิปไตย และจะส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งให้ได้มากที่สุด พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีและสนับสนุนพรรคที่มีแนวทางประชาธิปไตย
ขณะเดียวกันเป็นที่น่าสังเกตว่า ทีมงานของอดีตนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาช่วยงานกับพรรคไทยรักษาชาติ อาทิ นางสาวชยิกา วงศ์นภาจันทร์ (บุตรสาวเยาวเรศ ชินวัตร) เป็นนายทะเบียนพรรค และนายวิม รุ่งวัฒนจินดา เป็นรองเลขาธิการพรรค เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการปรากฏตัวของแกนนำคนสำคัญที่สื่อจับตามองอย่าง นายจาตุรนต์ ฉายแสง, นายนพพล ปัทมะ, นายพิชัย นริพทะพันธุ์, นายพานทองแท้ ชินวัตร (บุตรชายทักษิณ ชินวัตร) แต่ มดดำ-คชาภา ตันเจริญ เพื่อนสนิทพานทองแท้ ปรากฏตัวในงานเพื่อมาให้กำลังใจด้วย
คนที่ดูจะรับภาระหนักต่อจากนี้และตกที่นั่งลำบากก็คือ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เพราะสมาชิกหลายคนดูจะปันใจออกห่าง ตามที่มีกระแสข่าวความขัดแย้งในพรรคก่อนหน้านี้ แม้ว่า จาตุรนต์ ฉายแสง จะออกมาสำทับว่า “ไม่มี” และวันนี้ ร้อยโท ปรีชาพลก็ยืนยันว่า ไม่ใช่ความขัดแย้งที่ต้องออกมาตั้งพรรคใหม่ หากแต่เพราะมีเป้าหมายในการทำงานการเมืองและต้องการผลักดันแนวทาง “โลกต้องก้าวไกล ไทยต้องก้าวทัน” ด้วย
สำหรับ พรรคไทยรักษาชาติ เป็นพรรคการเมืองที่ถูกเปลี่ยนชื่อมาจากพรรคไทยรวมพลัง โดยมีการประชุมใหญ่ของพรรคไปแล้วตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม และมีมติให้เปลี่ยนชื่อจากพรรคไทยรวมพลังเป็น พรรคไทยรักษาชาติ
อดีต ส.ส. หลายคนยังคงรอจังหวะการตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร จะปักหลักค่ายเดิม เดินเกมการเมือง วัดใจการยุบ-ไม่ยุบพรรค หรือจะไปเริ่มใหม่ เกิดทางการเมืองแบบสบายใจที่ไทยรักษาชาติ ซึ่งอนาคตก็ไม่อาจการันตีความเสี่ยงได้เหมือนกัน แต่อาจเสี่ยงน้อยกว่า เอาเป็นว่าก่อน 26 พฤศจิกายน ประชาชนน่าจะได้เห็นหน้าตาว่าใครเป็นใคร ในเกมการเมืองรอบนี้ชัดขึ้นอย่างแน่นอน
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า