กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยรายงานฐานข้อมูลหนี้โลก (Global Debt Database) ระบุว่า หนี้ภาคเอกชนของไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน สะท้อนแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง ในขณะที่ภาพรวมหนี้สินทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับที่สูงมากถึง 235% ของ GDP โลก
รายงานของ IMF ระบุว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ร่วมกับชิลีและโคลอมเบียที่หนี้ภาคเอกชนลดลง ซึ่งสวนทางกับตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่อื่นๆ เช่น บราซิล อินเดีย และเม็กซิโก ที่การกู้ยืมของภาคเอกชนกลับพุ่งสูงขึ้น
สำหรับ 4 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2021 – 2024 หนี้ภาคเอกชนไทยลดลงจาก 184.0% มาเหลือ 178.7%, 178.0% และ 171.1% ตามลำดับ
IMF วิเคราะห์ว่าสาเหตุหลักที่อยู่เบื้องหลังการลดลงของหนี้ภาคเอกชนในไทยนั้นมาจากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการลดลงของหนี้ภาคเอกชนในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ส่วนใหญ่มาจากการที่บริษัทต่างๆ กู้ยืมน้อยลง ซึ่งน่าจะเป็นการตอบสนองต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ซบเซา และในบางกรณีอาจเกิดจากปรากฏการณ์ Crowding-out Effect ที่การกู้ยืมมหาศาลของภาครัฐทำให้สินเชื่อสำหรับภาคเอกชนมีจำกัดหรือมีต้นทุนสูงขึ้น
ส่วนในจีนการเพิ่มขึ้นของหนี้เอกชนถูกขับเคลื่อนโดยหนี้ของภาคธุรกิจนอกภาคการเงิน สะท้อนถึงนโยบายที่ยังคงปล่อยสินเชื่อเพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์ของประเทศ
ภาพรวมหนี้โลกยังน่ากังวล
แม้หนี้ภาคเอกชนในหลายพื้นที่จะลดลง แต่ IMF ย้ำว่าสถานการณ์หนี้โลกโดยรวมยังคงน่ากังวล โดยปริมาณหนี้สินทั้งหมดทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับที่สูงราว 235% ของ GDP โลก หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 251 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยภาวะทรงตัวดังกล่าวเป็นการผสมผสานระหว่างหนี้ภาครัฐที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับเกือบ 93% ของ GDP โลก คิดเป็นมูลค่า 99.2 ล้านล้านดอลลาร์ และหนี้ภาคเอกชนที่ลดลงมาอยู่ที่ต่ำกว่า 143% ของ GDP โลก หรือประมาณ 151.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับแต่ปี 2015
IMF แนะนำให้รัฐบาลต่างๆ จัดลำดับความสำคัญของการปรับลดการขาดดุลการคลังอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อลดหนี้สาธารณะลง ขณะเดียวกันก็ต้องช่วยหลีกเลี่ยงการเบียดบังการกู้ยืมและการลงทุนของภาคเอกชน ควบคู่ไปกับการส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและลดความไม่แน่นอน จะช่วยบรรเทาภาระหนี้ภาครัฐและกระตุ้นให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตที่ยั่งยืน
ภาพ: Adisorn Fineday Chutikunakorn / GettyImages
อ้างอิง: