ซีอีโอ GC คนใหม่ เปิดวิสัยทัศน์ ‘3 Steps Plus’ ลุยต่อยอดธุรกิจปิโตรเคมี ขยายการลงทุนผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์มูลค่าสูง พร้อมหมายมั่นผลักดันให้ ‘มาบตาพุด’ เป็นฐานผลิตอันดับ 1 ของอาเซียน
ณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยถึงวิสัยทัศน์การทำงานหลังรับตำแหน่งซีอีโอคนล่าสุดว่า ก้าวต่อไปของ GC คือการสานต่อกลยุทธ์ 3 Steps Plus นั่นคือ Step Change, Step Out และ Step Up ที่มุ่งเสริมศักยภาพการแข่งขันให้เติบโตสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
โดยเน้นการลงทุนด้านนวัตกรรม ต่อยอดผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์และพลาสติกชีวภาพ ลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ตามเทรนด์โลก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
“แม้โลกจะเผชิญกับความผันผวนจากเศรษฐกิจ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ การกีดกันทางการค้า GC มั่นใจว่าปีนี้จะบริหารธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่องและมีกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) สูงกว่าปีที่ผ่านมา”
ลุยเดินหน้า 2 โปรเจกต์ ต่อยอดธุรกิจเคมีภัณฑ์มูลค่าสูงและมาบตาพุด
ณะรงค์ศักดิ์กล่าวถึงแผนธุรกิจปีนี้อีกว่า ช่วงครึ่งปีหลังจะผลักดัน 2 ภารกิจ
ภารกิจแรก คือผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์มูลค่าสูง (High Value Products: HVP) และคาร์บอนต่ำ (Low Carbon) เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เราเน้นจำหน่ายสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก และจะทำตลาดสินค้าที่เข้าใกล้ผู้บริโภคมากขึ้น
โดยจะต่อยอดธุรกิจผ่าน Allnex Holding GmbH หรือ allnex ที่มีโรงงานและฐานธุรกิจสารเคลือบผิว (Coating Resins) อยู่ 34 แห่งทั่วโลก โดย GC ถือหุ้น 100% ตามแผนกลยุทธ์การปรับพอร์ตธุรกิจของ GC ให้มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นจากธุรกิจผลิตภัณฑ์ High Value ที่ต้องอาศัยนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง
ขณะที่กลุ่มธุรกิจ Bio และ Green มีการลงทุนกับผู้ผลิตไบโอพลาสติกประเภทโพลีแล็กติกแอซิด (PLA) ชั้นนำของโลก ลงทุนร่วมกับ GC สร้างโรงงานผลิต PLA ครบวงจรแห่งใหม่ที่นครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (Nakhonsawan BioComplex: NBC) สัดส่วน 50% ร่วมกับพันธมิตร Cargill และ NatureWorks นั้นคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2568 และจะรับรู้รายได้ปี 2569
“โปรเจกต์นี้เราอยากสร้างโอกาสแก่ภาคเกษตรกรรมและพัฒนาเศรษฐกิจไปอีกขั้น ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกเพื่อตอบสนองความต้องการวัสดุเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Material) สู่ตลาดโลก”
ส่วนอีกภารกิจ ณะรงค์ศักดิ์บอกว่า ตั้งเป้ายกระดับสร้างโอกาสการลงทุนในมาบตาพุด จังหวัดระยอง เพื่อรองรับการขยายตัวการลงทุนและเศรษฐกิจ ตลอดจนการย้ายฐานผลิตมาไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งโอกาสการลงทุนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นนอกจากจะมีรายได้ประชาชาติ (GDP) เติบโต 4.6% แล้ว ยังมีความพร้อมหลายๆ ด้าน เช่น ประชากร โครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม
โดย GC วางแผนให้ allnex เข้าไปลงทุน วิจัยและพัฒนา โดยจะตั้ง GC-allnex Thailand Innovation Hub เพื่อเป็นฐานการผลิตสารเคลือบผิว (Coating Resins) ผลิตภัณฑ์ High Value ให้มาบตาพุดเป็นศูนย์กลาง (Hub) ธุรกิจ High Value และ Specialty Chemicals เป็นฐานการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลกภายใน 3-5 ปีข้างหน้า สอดรับกับนโยบายรัฐบาลในการผลักดันการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูง ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
“allnex และ BioComplex จะเป็นเรือธงยกระดับสร้างโอกาสการลงทุนในมาบตาพุด ดังนั้นการตั้ง GC-allnex Thailand Innovation Hub คือโอกาส ส่วนรายละเอียดการลงทุน วงเงิน รูปแบบ นั้นจะมีความชัดเจนภายในเวลาประมาณ 1 ปีจากนี้ หลังจากนั้นจะเดินหน้าดึงพันธมิตรจากทั่วโลกเข้าลงทุน”
มาบตาพุดไม่เป็นรองใคร!
หากถามว่าทำไมจึงอยากผลักดันมาบตาพุดเป็นฐานผลิตสำคัญของอาเซียนนั้น “ผมมองว่าเราควรจะอัปเกรดการลงทุนในมาบตาพุด เพราะเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อม มีนักลงทุนสนใจจำนวนมาก ธุรกิจปิโตรเคมีสามารถต่อยอดไปได้อีกไกล”
เพราะเมื่อเทียบความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ด้านปิโตรเคมีในอาเซียนมีอยู่ประมาณ 13,500 ตันต่อ 1 ล้านคน หากเทียบกับตลาดยุโรป 27,000 ตันต่อ 1 ล้านคน สหรัฐอเมริกา 32,000 ตันต่อ 1 ล้านคน ดังนั้นตลาดอาเซียน ซึ่งมีประชากรมากกว่า 600 ล้านคน และมีอัตราการเติบโตของ GDP 4.6% เราจึงมองว่ายังสามารถเติบโตได้อีก 2-3 เท่า
ท้ายที่สุด ณะรงค์ศักดิ์ย้ำว่า “ผมมองว่ามาบตาพุดในวันนี้ไม่แพ้ใครในโลก เพราะเราทำงานกับผู้ร่วมทุนหลายๆ ชาติ การที่จะตัดสินใจลงทุนอะไร นักลงทุนมองหลายๆ เรื่อง ต้นทุน สิ่งแวดล้อม พาร์ตเนอร์ เมื่อมีการย้ายฐานผลิตมาอาเซียนมากขึ้น ไทยซึ่งมีมาบตาพุดไม่เป็นรองใครเลย”
ส่วนคำถามที่ว่าสถานการณ์การเมืองของไทยในขณะนี้มีผลต่อนักลงทุนหรือไม่ ณะรงค์ศักดิ์มองว่า เราจะมุ่งมั่นต่อยอดธุรกิจ และเราจะทำเต็มที่ เชื่อว่าทุกคนเชื่อมั่น ผู้บริหารเองก็มีความพร้อม การลงทุนจากต่างประเทศก็มีเข้ามาต่อเนื่อง