ฟุตบอลไทยเดินทางมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง เมื่อกระแสการ ‘แยกตัว’ ของสโมสรในระดับไทยลีก 1 เริ่มก่อตัวรุนแรงขึ้น
โดยวัตถุประสงค์ของการแยกตัวนั้นอยู่บนเรื่องของผลประโยชน์ ที่มีการหยิบยกกรณีการแยกตัวของสโมสรฟุตบอลในระดับสูงสุดของอังกฤษเพื่อก่อตั้งพรีเมียร์ลีก เป็นกรณีตัวอย่างเทียบเคียง
แต่ในความเป็นจริงแล้วเราไม่สามารถใช้กรณีของพรีเมียร์ลีกเป็นตัวอย่างได้ทั้งหมด เพราะมีความแตกต่างกันทางรายละเอียดค่อนข้างมาก
โดยเฉพาะบนคำถามถึงอนาคตของฟุตบอลไทย
ว่ามันจะไปต่อได้จริงไหม? และที่ว่าไปนั้นจะไปทางไหน? หรือจริงๆ แล้วเรามีสิ่งที่ควรหาคำตอบเรื่องอื่นกันแน่
ความจริงเรื่องของการแยกลีกไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่สำหรับวงการฟุตบอลไทย เพราะเคยมีการหยิบประเด็นนี้ขึ้นมา ‘จุดพลุ’ กันไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้วในช่วงที่มีการประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยลีก 1 ที่มีปัญหากันเพราะตัวเลขค่าลิขสิทธิ์ที่เคยได้ในระดับ ‘ลีกพันล้าน’ หดลงมาเหลือแค่ปีละ 50 ล้านบาท
แต่เรื่องได้เงียบหายไปในเวลาต่อมา
ก่อนที่เรื่องจะวนกลับมาใหม่ในจังหวะใกล้เคียงกับของเดิมคือเป็นช่วงที่ทุกสโมสรยังคงรอคอยเรื่องการประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยลีกรอบใหม่ ซึ่งความจริงควรจะมีความคืบหน้าที่ชัดเจนแล้วแต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการประกาศยืนยันอย่างเป็นทางการ
นี่จึงเป็นจังหวะที่มีการจุดพลุเรื่องของการแยกไทยลีกออกมาอีกครั้ง เพื่อขอบริหารจัดการสิทธิประโยชน์กันเองระหว่าง 16 สโมสรในลีกสูงสุด ซึ่งจะเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนที่เท่ากันทั้งหมด
ส่วนสโมสรในระดับลีกรองอย่างไทยลีก 2 และไทยลีก 3 ข้อเสนอแนะใหม่จากเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่มีต่อสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์คือการปรับให้กลับไปเป็นรูปแบบ ‘เซมิ-โปรลีก’ หรือลีกฟุตบอลกึ่งอาชีพ
เพื่อให้สโมสรในระดับไทยลีก 2 และ 3 ยังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ประหนึ่งการต่อท่อออกซิเจนให้ โดยที่ไทยลีก 1 จะแบ่งรายได้ ‘บางส่วน’ ให้ด้วย
หากทำแบบนี้ฟุตบอลไทยจะไปต่อได้
คำถามที่น่าคิดคือทำแบบนี้แล้วฟุตบอลไทยจะไปต่อได้จริงไหม?
เริ่มที่ ‘ข้อดี’ ของการแยกตัวก่อน
โดยแนวคิดและแนวทางแล้วคือการแยกไทยลีกออกมาตั้งเป็นบริษัทใหม่เพื่อบริหารจัดการและดูแลสิทธิประโยชน์กันเอง ไม่ยึดติดอยู่กับสมาคมฟุตบอลอีกต่อไป
ในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เชื่อว่าหลายฝ่ายเห็นด้วย เพราะลีกฟุตบอลอาชีพที่มีมาตรฐานจะมีบริษัทเฉพาะที่ตั้งขึ้นเพื่อบริหารจัดการการแข่งขันและบริหารธุรกิจขึ้นโดยเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่น พรีเมียร์ลีกที่แยกตัวจากเอฟเอ, ในเยอรมนีมีบุนเดสลีกาที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับเดเอฟเบ, สเปนมีลาลีกาที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับสหพันธ์ฟุตบอลสเปน หรือเลกากัลโชที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี
การแยกตัวออกมาแบบนี้ทำให้การบริหารธุรกิจเป็นเรื่องง่าย เพราะดูแลแค่สโมสรฟุตบอลที่อยู่ในลีก ไม่ต้องดูแลทั้งองคาพยพซึ่งรวมถึงทีมชาติชาย/หญิง ทีมชาติเยาวชน ไปจนถึงงานด้านการพัฒนากีฬาฟุตบอลซึ่งเป็นพันธกิจใหญ่ของสมาคมฟุตบอลที่เป็นชาติสมาชิกของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหรือ FIFA อีกทอดหนึ่ง
เปรียบให้เห็นภาพง่ายๆ ก็เหมือนสมาคมฟุตบอลเป็นภาครัฐ ลีกฟุตบอลเป็นเอกชน หน้าที่แตกต่างกันแต่ทำงานร่วมกัน
อันนี้เห็นด้วย ไม่ติด
เรื่องของการที่ฟุตบอลไทยลีก 1 จะ ‘รับเต็ม’ ในเรื่องของค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรวมถึงสิทธิประโยชน์อื่นๆ อันนี้ก็ไม่ติดเช่นกัน เพราะเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ ฟุตบอลอังกฤษที่ก่อตั้งมายาวนานนับร้อยปีก็มีปัญหาเรื่องของความรู้สึกไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการจัดสรรเงินส่วนแบ่งของแต่ละสโมสร (จนนำไปสู่การ ‘แยกพรีเมียร์ลีก’ – อ่านเรื่องการแยกตัวของพรีเมียร์ลีกได้ที่: ไทยลีกเตรียมแยกตัว? ย้อนรอยการแยกตัวพรีเมียร์ลีก จุดเปลี่ยนวงการฟุตบอลอังกฤษ )
ทีมเก่งไม่เท่ากัน ทีมดึงดูด Eyeball ไม่เท่ากัน จะรับค่าตัวเท่ากันก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกเสมอไป
ในพรีเมียร์ลีกปัจจุบันยังมีการแบ่งเงินรายได้เป็น 2 ระบบ คือ ระบบส่วนแบ่งหลักที่ทุกสโมสรจะได้รับเท่าเทียมกัน และระบบที่เรียกว่า Merit systems ที่จะดูจากผลงานในตารางคะแนน ไปจนถึงการถูกเลือกให้เป็นแมตช์ถ่ายทอดสด ทีมไหนทำผลงานดี ได้ออกทีวีบ่อยก็ได้ส่วนแบ่งมากกว่า
มองแบบนี้ถือว่า ‘สารตั้งต้น’ มีความคล้ายคลึงกัน คือเป็นเรื่องของสิทธิประโยชน์ส่วนแบ่ง
ส่วนเหตุผลที่มีการพยายามบอกว่า “ถ้าได้เงินส่วนแบ่งมากขึ้น ทีมจะได้งบกลับมาพัฒนามากขึ้น ลีกฟุตบอลจะแข็งขึ้น น่าดูขึ้น” อันนี้ยังไม่ซื้อเท่าไร เพราะในความเป็นจริงต่างรู้กันดีว่าที่พยายามผลักดันทางนี้เพราะปัจจุบันรายได้ที่มีมันไม่มีทางพอสำหรับการทำทีมฟุตบอลได้อยู่แล้ว
รายได้ส่วนแบ่งค่าลิขสิทธิ์ปีละ 10 ล้านบาท แต่ทีมมีรายจ่ายในการทำทีมฟุตบอลปีละหลัก ‘ร้อยล้าน’ จะหารายได้จากไหนถึงจะเพียงพอ?
มีเพียงบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทีมเดียวที่ในเชิง Business แล้วไปรอด (แต่ก็ไม่ได้อยู่รอดด้วย Pure football business) ขณะที่ผลเสียที่เกิดขึ้นคือศักยภาพของการแข่งขันภายในลีกต่ำลงจากในอดีตมาก สโมสรที่เคยเป็นคู่แข่ง อาทิ ชลบุรี เอฟซี, เมืองทอง ยูไนเต็ด ต่างล้มหายตายจากไปเพราะไม่มีเงินมากพอ จะทำทีมให้แข่งขันในระดับสูงสุดได้
ส่วนข้อเสียของการแยกตัวที่หลายคนกังวลคือการผลักไสไทยลีก 2 และ 3 ออกไป ถูกมองว่าไม่ต่างอะไรจากการ ‘ไล่ให้ไปตาย’
เพราะไม่ใช่ทุกสโมสรในไทยลีก 2 และ 3 ที่จะมีฐานแฟนฟุตบอลใหญ่พอที่จะพยุงสโมสรได้ด้วยรายได้จากการจำหน่ายค่าตั๋วเข้าชมเกมในสนาม หรือสินค้าที่ระลึก ท่อหายใจเดียวที่รักษาชีพจรของพวกเขาได้คือรายได้ส่วนแบ่งจากค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด
แต่ใครจะซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดของลีกที่ไม่มีมูลค่า ไม่มีสายตาผู้ชมจับจ้องมากพอสำหรับการลงทุน
การ ‘แนะ’ ให้กลับไปเป็นลีกฟุตบอลกึ่งอาชีพเพื่อให้รัฐช่วยพยุงจากกองทุนการกีฬาแห่งชาติยิ่งแล้วหนัก เพราะไม่ต่างอะไรจากการเดินถอยหลังกลับไปอีก 20 ปี
กว่าจะได้เป็นลีกฟุตบอลอาชีพต้องพยายามมากแค่ไหน กว่าจะอยู่รอดกันมาได้จนถึงทุกวันนี้เลือดตาแทบกระเด็นกันขนาดไหน
อดทนแค่ไหน อดมื้อกินมื้อกันมานานแค่ไหน แล้วจะกลับไปจุดเดิมเพื่อเริ่มต้นกันใหม่แบบไม่มีความหวัง?
ความตายของไทยลีก 2 และ 3 ถูกมองว่าจะเป็นความตายของฟุตบอลไทยทั้งระบบ เพราะสุดท้ายแล้วจะเป็นการแข่งขันที่ไม่มีใครสนใจ ไม่มีความหมาย
เพียงแต่สิ่งที่มีความกังวลกันคือไม่มีฟุตบอลของประเทศไหนที่ยอดจะอยู่รอดได้หากฐานพัง
เพราะความจริงสิ่งสำคัญที่สุดไม่ได้อยู่ที่ยอด แต่อยู่ถึงระดับ ‘รากหญ้า’ (Grassroots) หรือฟุตบอลตามชุมชนท้องถิ่นเลยด้วยซ้ำ
คำถามคือในชุมชนมีสนามฟุตบอลสำหรับเด็กๆ กี่สนามที่อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้ดี? เส้นทางหรือแนวทางสำหรับการพัฒนาเยาวชนชัดเจน ดีพอ และพอดีกับบ้านเราไหม?
อย่างไรก็ดี ในเรื่องนี้นำมาซึ่งคำถามอีกมากมายที่ผุดขึ้นมาในหัว และคิดว่าบางทีมันอาจเป็นจังหวะเวลาเหมาะสมที่เราจะทบทวนกัน
คราวนี้ไม่ใช่เรื่องของการแยกลีกไม่แยกลีกแล้ว แต่เป็นเรื่องความเป็นลีกฟุตบอลอาชีพของไทย ตกลงแล้วเราเป็นฟุตบอลอาชีพจริงอย่างที่เรียกตัวเองหรือไม่?
ฟุตบอลอาชีพที่สโมสรอยู่รอดได้ด้วยสองขาของตัวเอง ผ่านการหารายได้จากช่องทางต่างๆ การมีทุนเข้ามาสนับสนุน จนถึงสายสัมพันธ์กับชุมชน (Community) มีฐานแฟนฟุตบอลที่พร้อมให้การสนับสนุนจริงๆ หรือไม่
เพราะบ้านเราไม่ใช่จะไม่มีแฟนฟุตบอลเลย
ในขณะที่ฟุตบอลอาชีพซบเซา หลายปีที่ผ่านมา ‘ฟุตบอลเดินสาย’ กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในบ้านเรา ด้วยรูปแบบที่พัฒนาขึ้นจากอดีต ลดปัญหาความรุนแรงและการพนันขันต่อที่เป็นรอยด่างพร้อย เงินรางวัลจากผู้สนับสนุนมากพอที่จะดึงดูดให้แม้แต่นักฟุตบอลอาชีพก็ร่วมทีมลงแข่งขันด้วย (ต่อให้เสี่ยงต่อการทำผิดกฎและวินัยของนักฟุตบอลอาชีพ) เพราะใช้เวลาแข่งน้อยและที่สำคัญได้เงินจริง อิ่มท้องจริงไม่อิ่มทิพย์
มันน่าคิดว่าทำอย่างไรฟุตบอลอาชีพในไทยจะได้รับความสนใจในแบบนี้บ้าง? ซึ่งบางทีหลักการตลาดทั่วไปที่ได้ผลในต่างประเทศอาจจะไม่ตอบโจทย์กับฟุตบอลในบริบทแบบไทยๆ ก็เป็นได้
หรือบางทีเราควรจะคิดใหม่ทำใหม่ กดปุ่ม ‘รีเซ็ต’ เพื่อเริ่มต้นกันใหม่ทุกอย่าง
สร้างทีมฟุตบอลที่พร้อมและมีศักยภาพจริง โดยที่มีภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกันสนับสนุน
ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ในปี 1993 ฟุตบอลเจลีก เริ่มต้นโดยมีจำนวนทีม 10 ทีมด้วยกัน ซึ่งแต่ละทีมจะกระจายไปตามแต่ละจังหวัดทั่วญี่ปุ่น โดยที่แต่ละทีมจะมีผู้สนับสนุนเป็นบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพพร้อมที่จะให้งบประมาณสนับสนุนซึ่งถือเป็นงานด้าน CSR
โดยที่เจลีก (ซึ่งก็แยกตัวจากสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นหรือ JFA) วางแผนอย่างละเอียดในการสร้างลีก มีการกำหนดกลยุทธ์ (หานักเตะดาวดังระดับโลกในวัยใกล้เกษียณมาโชว์ตัว) แผนการตลาด ไปจนกระทั่งแม้แต่เรื่องของแบรนดิ้งอย่างการออกแบบโลโก้ มัสคอต และ CI ของแต่ละทีมโดยมีสตอรีสอดคล้องกับท้องถิ่น โดยมีการวางแผนงานกันล่วงหน้าเป็นเวลาหลายปี เพื่อให้ฟุตบอลมันน่าดู
การเริ่มด้วยจำนวนทีมให้น้อยที่สุด ทำให้บริหารจัดการกันได้ง่าย ทีมไหนไปไม่รอดก็มีการยุบและรวมกับทีมอื่นได้ด้วย
เช่นกันกับในเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ (MLS) ของสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มในปี 1996 เพื่อต่อยอดกระแส ‘ซอกเกอร์’ จากฟุตบอลโลก 1994 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน ก็เริ่มต้นจากจำนวนทีมแค่ 10 ทีม (สายตะวันออก 5 สายตะวันตก 5)
แต่ละทีม – หรือที่คนอเมริกันเรียกว่าแฟรนไชส์ (Francise) – ต้องผ่านการคัดเลือกจาก MLS ว่าทีมมีศักยภาพและมีโอกาสที่จะไปรอดหรือไม่ ซึ่งเป็นปกติของทีมกีฬาในสหรัฐอเมริกาที่จะมีการพิจารณาอย่างเข้มข้น
การพิจารณานั้นมองลึกถึงเจ้าของสโมสรหรือนักลงทุนว่ามีความพร้อมแค่ไหนสำหรับการลงทุน
มีเงินจริงไหม มีแผนระยะยาวไหม และไว้ใจได้ใช่ไหม ซึ่งในพรีเมียร์ลีกก็มีการตรวจสอบที่เรียกว่า ‘Fit and Proper Test’ เพื่อป้องกันเจ้าของสโมสรที่หวังเข้ามากอบโกยหรือมีความไม่ชอบมาพากล
ในไทยไม่มีการตรวจสอบแบบนี้ ใครมีเงินก็เข้ามา ซึ่งการทำทีมฟุตบอลมีความเชื่อกันว่าเป็นการ ‘เผาเงินทิ้ง’ ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามาลงทุนจริงจัง นอกจากนักการเมืองที่หวังใช้ความนิยมหรือสร้างชื่อเสียงจากการทำทีมฟุตบอลเอาเงินมาลงทุน
และสโมสรก็ต้องบริหารให้อยู่ในต้นทุนที่มี ซึ่งหมายถึงการจ้างนักฟุตบอลเองก็ไม่ควรจะ ‘เฟ้อ’ เหมือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ลีกฟุตบอลถึงทางตันจนแทบเอาตัวไม่รอดในทุกวันนี้
ทำอย่างไรสโมสรในฟุตบอลไทยถึงจะเป็นธุรกิจที่อยู่รอดได้จริง ลีกฟุตบอลมีมูลค่า โดยไม่ต้องหวังพึ่ง ‘ใคร’ และนักฟุตบอลก็อยู่รอดได้ มีกินมีใช้ อาจจะไม่อู้ฟู่แต่อย่างน้อยก็ขอให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีและสบาย
เรื่องนี้ฟุตบอลไทยเรากด ‘ข้าม’ ไม่เคยตอบคำถามและไม่เคยคิดหาคำตอบอย่างจริงจัง
แน่ล่ะว่ามันต้องใช้เวลา (อาจจะหลายปี) พลัง และความอดทนอย่างมาก ซึ่งวันนี้ความอดทนของทีมฟุตบอลไทยเราต่ำมากและไม่ใช่จะไม่เข้าใจ เพราะความเป็นกับความตายอยู่ใกล้กันมากเหลือเกิน ไม่ใช่คนในวงการจะไม่รู้ แต่วันนี้อาจจะคิดว่า ‘ต้องรอด’ ก่อน
แต่ถ้าหาคำตอบนี้ได้เมื่อไร วันนั้นฟุตบอลไทยจึงจะมองเห็นอนาคตและไปต่อกันได้จริงๆ