×

ตลาดแรงงานปีหน้าจะเป็นเช่นไร? ใครจะช่วย เมื่อคุณภาพการศึกษา-กำลังคนตกต่ำ

28.12.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read
  • เมื่อคุณภาพการศึกษากับคุณภาพแรงงานไม่ไปด้วยกัน ปัญหาจึงเกิดขึ้นต่อการเกื้อหนุน ‘คน’ ในตลาดแรงงาน ส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจของประเทศ รัฐไทยไม่สามารถสร้างแรงงานและพัฒนาคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • รัฐจึงต้องเร่งดำเนินนโยบายทำให้เด็กวัยเรียนทุกคนต้องได้เรียน และระหว่างเรียนต้องรักษาอัตราคงอยู่ทุกชั้นเรียนให้ได้ใกล้เคียงกับ 100%
  • ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการทุกระดับและครูทุกคนต้องรับผิดชอบกับคุณภาพเด็ก ทำให้นักเรียนทุกคนที่ไม่ได้มาตรฐานกลับมาเป็นพลังในการพัฒนาประเทศให้ได้

หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับแรงงานหรือคนทำงานไทยที่สถานศึกษาระดับต่างๆ ผลิตขึ้นมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แต่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะให้ได้คำตอบนี้ เราต้องทำความเข้าใจว่าขณะนี้พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่

 

คุณภาพการศึกษากับความล้มเหลวในตลาดแรงงาน

เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สำนักงานสถิติแห่งชาติได้เปิดเผยผลสำรวจภาวะการมีงานทำของประชากรไทยจำนวนประมาณ 65.75 ล้านคน โดยอยู่ในวัยแรงงาน (workforce) จำนวน 56.05 ล้านคน (ดูแผนภาพที่ 1)

เปรียบเทียบกับประเทศในอาเซียนน่าจะอยู่ในลำดับที่ 3 รองจากอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ตราบเท่าทุกวันนี้ ประเทศไทยยังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากประชากรวัยแรงงานจำนวนมากเช่นนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะมีผู้อยู่ในกำลังแรงงาน 37.22 ล้านคน ซึ่งผู้เขียนขอใช้เวลาพูดถึงกลุ่มที่อยู่นอกกำลังแรงงาน 18.83 ล้านคน (33%)

 

ซึ่งแน่นอน กลุ่มนี้เป็นกลุ่มไม่ได้หรือยังไม่ได้อยู่ในฐานะสร้างรายได้ให้กับประเทศ เช่น แม่บ้าน 5.72 ล้านคน เป็นคนทำงานที่คอยสนับสนุนคนในบ้านที่ต้องออกไปทำงานภาคเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นภาระของสังคม เนื่องจากมีคนหารายได้ให้ใช้อยู่เบื้องหลัง

 

แต่ผู้อยู่นอกกำลังแรงงานซึ่งกำลังเรียนหนังสือ 4.44 ล้านคน เกือบ 100% อยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ ใช้งบประมาณมากกว่า 20.3% ของงบประมาณรายจ่ายทั้งประเทศเพื่อหวังว่าจะผลิตบุคลากรจบการศึกษาอย่างมีคุณภาพ แต่คุณภาพของผู้เรียนที่ผ่านมาจนทุกวันนี้ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ เป็นผลจากการที่คุณภาพการศึกษาตกต่ำมาเป็นเวลานาน นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของความล้มเหลวของการศึกษาไทยที่ส่งต่อผู้คนเข้าสู่ตลาดแรงงาน

 

เมื่อเด็กหลุดจากระบบการศึกษา กระทบคุณภาพแรงงาน

ข้อเท็จจริงของความล้มเหลวคือไม่สามารถรักษาเด็กแต่ละชั้นเรียนให้คงอยู่ในสถานศึกษา เช่น จำนวนเด็กก่อนจะถึงอายุ 15 ปีนั้น ในปี 2559 เป็นเด็กอยู่ในระดับการศึกษาภาคบังคับ (6-14 ปี) ซึ่งมีประชากรวัยนี้อยู่ 7.4 ล้านคน แต่ปรากฏว่าได้รับการศึกษาเพียง 7.2 ล้านคน หลุดจากระบบการศึกษาจากแต่ละชั้นเรียนถึง 2 แสนคน ซึ่งเป็นหน้าที่ของโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และผู้ปกครองจะต้องนำเด็กเหล่านี้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาให้ได้ แต่ความเป็นจริง หน่วยงานที่รับผิดชอบยังปล่อยให้เด็กเหล่านี้เติบโตขึ้นมาโดยไม่ได้รับการศึกษา และพบว่าเด็กเหล่านี้ส่วนหนึ่งกลายเป็นเด็กด้อยคุณภาพ ถ้าตกจากระบบนานนับ 10 ปี และไม่ได้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา ไม่ได้รับการฝึกอบรมอีกเลยจนอายุถึง 18 ปี ในที่สุดก็จะกลายเป็นแรงงาน หรือคนทำงานทักษะต่ำ (low skilled) ทำงานรับจ้างรายได้ต่ำวนเวียนในวัฏจักรของความยากจน

 

ตัวเลขนักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนต้นก็มีมาก ในปี 2559 อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งกลุ่มนี้มีอายุ 12-14 ปี มีประชากรวัยนี้ 2.6 ล้านคน แต่ไม่ได้เรียนต่อถึง 11.4% หรือประมาณ 3 แสนคน เป็นสถิติที่น่าตกใจมาก เนื่องจากอายุยังไม่ถึงวัยทำงาน ไม่มีใครกล้าจ้างเด็กเหล่านี้เข้าทำงาน (เพราะสุ่มเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่าใช้แรงงานเด็ก) นับเป็นความสูญเปล่าที่ยังไม่ได้แก้ไขให้สำเร็จ ยิ่งกว่านั้น เมื่อเข้าสู่วัยที่ต้องเลือกเรียนต่อสายสามัญและอาชีวศึกษา พบว่ามีเด็กวัย 15-17 ปีอยู่ประมาณ 2.7 ล้านคน เรียนต่อเพียง 2 ล้านคน แบ่งเป็นเรียนต่อสายสามัญ 1.3 ล้านคน (48.9%) อาชีวศึกษา 0.7 ล้านคน (23.8%) ซึ่งห่างไกลจากเป้าหมายที่ต้องการให้มีผู้เรียน ปวช. ถึง 60-70%

 

ดังนั้นยังมีผู้ไม่ได้เรียนต่อถึง 0.7 ล้านคน (27.1%) นับเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติเช่นกัน เพราะเด็กกลุ่มนี้หากจะทำงานก็ทำได้ไม่เต็มที่ แม้จะมีกฎหมายคุ้มครอง แต่นายจ้างก็ไม่อยากสุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎหมายคุ้มครองแรงงาน การที่ประเทศไทยมีเด็กเกิดน้อยลงอยู่แล้ว แต่ยังปล่อยให้เด็กต้องออกจากโรงเรียนก่อนวัยอันควรเช่นนี้ก่อให้เกิดผลเสียต่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นอย่างมาก เช่น ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลน และเยาวชนยากจน

 

ปัญหารองลงมาเป็นเรื่องที่ผู้เรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลายและอาชีวศึกษา (ช่วงอายุ 18-21 ปี) ปรากฏว่ามีเด็กนักเรียนถึง 43.7% หรือประมาณ 308,000 คน ไม่ได้เรียนต่ออุดมศึกษา (หรืออนุปริญญา) โดยเด็กเหล่านี้ยังไม่สามารถเข้าทำงานได้ทันทีทั้งหมด เนื่องจากบางส่วนอายุไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ ต้องรอเกือบปีเต็ม และเป็นช่วงที่เด็กจะอ่อนไหวต่อการเตรียมความพร้อมให้กับตัวเองเพื่อรอเข้าสู่ตลาดแรงงาน (ถ้าไม่กลับเข้าไปเรียนต่อ) จึงมีจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่สามารถกลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน ซึ่งเกิดความสูญเสียต่อประเทศชาติจนไม่อาจประเมินได้

 

ดังนั้นเป็นหน้าที่ของผู้รับผิดชอบ เช่น สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน, กศน. และ/หรือหน่วยงานประชารัฐ จะต้องจัดฝึกอบรมเพื่อเตรียมความพร้อมให้ได้มีโอกาสเพิ่มเติมความรู้และประสบการณ์เพื่อให้ทุกคนสามารถกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานที่ขาดแคลนแรงงานนี้จำนวนนับแสนคนได้ นอกจากนี้ยังมีผู้ที่เข้าเรียนอุดมศึกษาปีที่ 1 ไม่ได้มาลงทะเบียนหรือออกจากระบบการศึกษาถึง 38.6% ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงเช่นกัน นับเป็นความสูญเปล่าต่อประเทศเป็นอย่างมาก

 

สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือกระทรวงศึกษาธิการมีหน้าที่โดยตรงที่ต้องนำนักเรียนที่อยู่ในวัยการศึกษาภาคบังคับกลับเข้าเรียนหนังสือและ/หรือเทียบการศึกษา (อาจจะโดย กศน.) เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นมีความรู้ติดตัว (อย่างน้อยให้อ่านออกเขียนได้) เพื่อสามารถเข้ารับการฝึกอบรมในระดับที่เหมาะสมกับวัยและความร่วมมือระหว่างหน่วยงานประชารัฐ

 

แรงงาน ‘มีตำหนิ’ ไม่สามารถหนุนเศรษฐกิจประเทศ รัฐต้องช่วย

ที่จริงแล้วการสูญเสียอันเกิดจากเด็กนักเรียนไม่ได้เรียนทุกคนนั้นเป็นความสูญเสียเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังมีผู้ที่ทั้งที่อยู่และไม่ได้อยู่ในกำลังแรงงานอีกส่วนคือคนว่างงาน และข้อมูลส่วนอื่นๆ จากตัวเลขในตารางที่ 1 จะเห็นว่าเกือบ 1.2 ล้านคน ณ ขณะใดขณะหนึ่งไม่สามารถสนับสนุนมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของประเทศ และยังเป็นภาระให้กับประเทศอีกด้วย

 

ถ้าตัดกลุ่มพระและเณรออกไป กลุ่มที่เหลือก็เข้าข่าย ‘เสียของ’ โดยเฉพาะผู้ต้องโทษหรือผู้อยู่ในสถานพินิจฯ ถึงแม้ว่าจะได้รับอิสรภาพแล้ว แต่จะมีปัญหาในการเข้าทำงานในตลาดแรงงานในระบบเป็นส่วนใหญ่ อันเกิดจากสังคมยังไม่เปิดกว้างยอมรับกำลังแรงงานมีตำหนิเหล่านี้ ทำให้อยู่ในภาวะถูกรอนสิทธิ การช่วยเหลือกลุ่มนี้คือการส่งเสริมให้ทำงานอาชีพอิสระ หรือสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม ผ่อนปรนกฎระเบียบให้รับผู้ต้องขังเข้าทำงานให้มากขึ้น

 

 

จุดอ่อนของประเทศไทยคือมีปัญหาที่การผลิตและพัฒนากำลังคน

เมื่อย้อนกลับไปดู ประชากรวัยแรงงานที่อยู่ในกำลังแรงงาน 37.2 ล้านคน เป็นผู้มีงานทำเป็นส่วนใหญ่ 36.65 ล้านคน มีพลังในการสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจไม่เท่ากัน เนื่องจากแรงงาน/คนทำงานมีคุณภาพ (การศึกษา) สูงต่ำแตกต่างกัน ถ้าจำแนกแรงงานกลุ่มนี้ออกไป 2 ส่วนคือ

 

แรงงานในระบบ (ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายมีเพียงประมาณ 15.34 ล้านคน หรือ 41.2% เท่านั้น) ถ้าตัดนายจ้างออก 0.94 ล้านคน จะเหลือลูกจ้างเอกชนเพียง 14.4 ล้านคน ซึ่งประเทศไทยพึ่งพาการสร้างรายได้ในรูปมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจไทยจากกำลังแรงงานเพียง 41.8% เป็นแรงงานที่มีคุณภาพระดับ semi-skilled ขึ้นไป

 

แต่กำลังแรงงานส่วนใหญ่เป็นแรงงาน (หรือคนทำงาน) นอกระบบ (ไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย) จำนวน 21.31 ล้านคน หรือ 58.2% แรงงานกลุ่มนี้อยู่ในภาคเกษตรถึง 11.04 ล้านคน มากกว่า 51.8% ของแรงงานนอกระบบ ส่วนมากมีคุณภาพ (ระดับการศึกษา) ระดับประถมศึกษาหรือต่ำกว่าเกือบ 50% ทำการผลิตทางการเกษตรเชิงเดี่ยวมีผลิตภาพต่ำ ทำให้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคเศรษฐกิจค่อนข้างต่ำมาก อีก 10.27 ล้านคน ส่วนใหญ่ทำงานส่วนตัว ซึ่งมีจำนวนน้อยที่ประสบความสำเร็จในการหารายได้ที่มั่นคง ซึ่งเป็นข้อจำกัดอย่างยิ่งที่จะมีส่วนสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจในระดับที่สูง (ช่วยสนับสนุนให้เป็นประเทศพัฒนาแล้ว)

 

สิ่งที่ทางรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการไปแล้วคือพยายามนำประเทศไทยให้ก้าวข้ามประเทศที่ติดกับดักประเทศกำลังพัฒนารายได้ปานกลางไปให้ได้ โดยกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศระยะยาว 20 ปี พร้อมกับปรับโครงสร้างเศรษฐกิจมุ่งสู่นวัตกรรม 4.0 (ไทยแลนด์ 4.0) ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

 

เนื่องจากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแบบเดิมๆ รวมเวลา 55 ปี พิสูจน์แล้วว่าประเทศไทยพัฒนาเศรษฐกิจได้ช้ากว่าประเทศที่เริ่มพัฒนามาพร้อมๆ กันคือ เกาหลีใต้ และมาเลเซีย

 

จุดอ่อนของประเทศไทยคือมีปัญหาที่การผลิตและพัฒนากำลังคน (ด้านอุปทาน) และปัญหาการผลิตและการค้าที่ขาดนวัตกรรม (ด้านอุปสงค์) การที่ประเทศไทยกำลังปรับโครงสร้างการผลิต/อุตสาหกรรมบริการในช่วง 20 ปีข้างหน้า นับว่าเดินมาถูกทาง

 

แต่รัฐก็ต้องเผชิญปัญหาหลายประการ หรืออย่างน้อยจะพบว่าประเทศไทยยังขาดนักพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีความสามารถระดับโลก สังเกตได้จากรายชื่อมหาวิทยาลัยวิจัยที่ไทยมีอยู่ติดลำดับไม่ถึง 100 ของโลก มีนวัตกรรมในรูปสิทธิบัตรค่อนข้างน้อย และมีผลงานวิจัยที่จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ค่อนข้างจำกัด มีผู้มีงานทำที่จบสายวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์นับล้านคน แต่ส่วนใหญ่ทำงานไม่ตรงกับสาขาที่ศึกษา มีกำลังแรงงานเพียง 41% ของกำลังแรงงานที่อยู่ในข่ายสนับสนุนทั้งหมด 8.12 ล้านคนในภาคอุตสาหกรรม (หรือ 21.8% ของกำลังแรงงาน) และมีแรงงานสาขาเทคนิคหรือจัดในกลุ่ม Productive Workforce ไม่ถึง 2 ล้านคน ซึ่งยังมีน้อยมากเมื่อเทียบกับกำลังแรงงาน 37.2 ล้านคน

 

5 ข้อเสนอพัฒนาการศึกษา-กำลังคน เพื่อคุณภาพในอนาคต

ผู้เขียนจึงเสนอแนะกิจกรรมให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการดังต่อไปนี้

 

1. เด็กวัยเรียนทุกคนต้องได้เรียน และระหว่างเรียนต้องรักษาอัตราคงอยู่ทุกชั้นเรียนให้ได้ใกล้เคียงกับ 100% ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการทุกระดับและครูทุกคนต้องรับผิดชอบกับคุณภาพเด็กนักเรียนทุกคนที่ไม่ได้มาตรฐานให้กลับมาเป็นพลังในการพัฒนาประเทศให้ได้


2. เก็บตกเด็กวัยเรียนทุกคนให้ได้เรียนและ/หรือฝึกฝีมือแรงงาน เด็กและเยาวชนที่พ้นวัยเรียน รวมทั้งผู้ที่ตกจากระบบมาก่อนให้พวกเขาทุกคนมีความรู้และทักษะเพียงพอที่จะประกอบสัมมาอาชีพได้ทุกคน


3. ใช้กระบวนประชารัฐที่รัฐบาลได้สร้างขึ้นเป็นเครื่องมือในการประสานความร่วมมือในการเตรียมผู้จบการศึกษาให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยเฉพาะในพื้นที่เป้าหมายที่เป็นระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 10 แห่ง


4. ขับเคลื่อนแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579 ซึ่งเน้นการจัดการศึกษาทุกช่วงวัยให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว


5. รัฐควรจะต้องดูแลกำลังคนที่เป็นแรงงานในระบบและคนทำงานนอกระบบให้ได้รับการคุ้มครองด้วยความเสมอภาคและเป็นธรรม

 

ดังนั้นก่อนที่จะคิดถึงอะไรที่ไกลความเป็นจริง รัฐก็ควรจะดำเนินการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้อง 5 ข้อข้างต้นเสียตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

 

ภาพประกอบ: Karin Foxx

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X