หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำว่า ‘January Effect’ ซึ่งเป็นคำที่สะท้อนถึงความเชื่อและข้อเท็จจริงบางส่วนที่ว่าตลาดหุ้นมักมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในเดือนมกราคมมากกว่าเดือนอื่นๆ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะกับตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา เนื่องจากการศึกษาพบว่าผลตอบแทนในเดือนมกราคมสูงกว่าค่าเฉลี่ยหลายเท่า โดยเฉพาะในหุ้นบริษัทเล็กตั้งแต่ปี 1940 ถึงกลางทศวรรษ 1970 แต่ดูเหมือนว่าผลกระทบดังกล่าวจะลดลงตั้งแต่ปี 2000 และไม่น่าเชื่อถือเท่าเดิม
สำหรับในสหรัฐฯ งานวิจัยส่วนใหญ่ตั้งสมมติฐานไว้ว่าสาเหตุหลักของ January Effect มาจากเหตุผลเรื่องภาษี คือการที่นักลงทุนขายหุ้นที่ขาดทุนในเดือนธันวาคม เพื่อลดภาระภาษี และกลับมาซื้อหุ้นใหม่ในเดือนมกราคม ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น และอีกเหตุผลหนึ่งคือ ผู้คนมักตั้งปณิธานทางการเงินในต้นปีใหม่ และปรับพอร์ตการลงทุน นอกจากนี้ นักลงทุนรายได้สูงมักมีเงินสดจากโบนัสสิ้นปีที่พร้อมนำมาลงทุน
สำหรับหุ้นไทย January Effect ดูเหมือนจะเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน จากการศึกษาของ บล.ทรีนีตี้ พบว่าดัชนี SET มักเกิดปรากฏการณ์ January effect ในช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือนมกราคม โดยหากใช้ข้อมูลในช่วง 10 ปีหลังสุดจะพบว่าดัชนีให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ที่ 1.4% โดยมีผลตอบแทนที่ติดลบเพียงแค่ 2 ปีจาก 10 ปีเท่านั้น
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า หากมองสถิติของ SET ในเดือนมกราคมตลอด 10 ปีหลังสุด ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 7 ปี แต่ถ้ามองเฉพาะ 5 ปีหลังสุด จะเห็นว่า SET ให้ผลตอบแทนเป็นบวกเพียง 2 ปีเท่านั้น สะท้อนว่า January Effect ในตลาดหุ้นไทยช่วง 5 ปีล่าสุด ไม่ได้แรงเหมือนกับในอดีต
สำหรับเดือนมกราคมปีนี้ หุ้นไทยมีแนวโน้มว่าอาจจะให้ผลตอบแทนติดลบ หลังจาก 3 วันทำการแรกของเดือน ดัชนี SET ปรับตัวลงประมาณ 30 จุด จาก 1,400.21 จุด มาอยู่ที่ 1,372.65 จุด หรือลดลง 1.96%
ด้าน บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า หากวัดระดับของดัชนี SET ที่จุดเริ่มต้นในเดือนมกราคมของทุกปี พบว่าดัชนี SET ซึ่งเปิดที่ระดับ 1,397.93 จุดในปีนี้ เป็นระดับต่ำสุดในรอบ 9 ปี โดยระดับที่ต่ำกว่านี้ต้องย้อนไปถึงปี 2016 ซึ่งในปีนั้นดัชนี SET เปิดเดือนมกราคมที่ 1,286.26 จุด
หากประเมินขนาด Market Cap ซึ่งอยู่ที่ 17.43 ล้านล้านบาท ถือเป็นระดับที่ต่ำกว่าขนาด GDP ของประเทศ ส่วนในมุมของ Valuation พบว่ามี Market Earning Yield Gap อยู่ที่ 4.6% ถือเป็นระดับที่ถูกมาก แม้มูลค่าหุ้นไทยจะไม่แพง แต่หากไม่มีแรงซื้อที่ต่อเนื่อง การปรับขึ้นก็ยังยาก
อย่างไรก็ตาม ณัฐชาตมองว่าปีนี้จุดเริ่มต้นค่อนข้างปลอดภัย แม้ดัชนีเริ่มต้นจะใกล้เคียงกับปีก่อนที่ราว 1,400 จุด แต่ Valuation ของปีก่อนแพงกว่าปัจจุบันด้วยฐาน EPS ที่ต่ำกว่า
นอกจากนี้จะเห็นว่าปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เช่น ราคาน้ำมันที่ลดลงจาก 80 ดอลลาร์สหรัฐมาเป็น 70 ดอลลาร์สหรัฐ, บอนด์ยีลด์ที่อยู่ในระดับสูง 4.6% เทียบกับปีก่อนที่ 4%
“หลายปัจจัยทำให้เราเริ่มต้นด้วยความคาดหวังที่ต่ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะดัชนีได้สะท้อนความคาดหวังต่ำ และสะท้อนข่าวร้ายหลายอย่างไปแล้ว รวมทั้งเรื่องค่าไฟฟ้าล่าสุด”
ณัฐชาตมองว่าหุ้นไทยในไตรมาสแรกมีโอกาสจะให้ผลตอบแทนเป็นบวก แม้จะปรับลงแรงในช่วงแรก ส่วนหนึ่งเพราะเป็นช่วงที่ตลาดน่าจะผันผวนน้อยที่สุดในช่วงแรกที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้ารับตำแหน่ง