เศรษฐกิจไทยกำลังเจอศึกหนักรอบด้าน ปัญหาเชิงโครงสร้างถือเป็นระเบิดเวลา โดยเฉพาะปี 2025 ที่หนี้ครัวเรือนและการท่องเที่ยวที่แผ่วลง เริ่มกดดันกำลังใช้จ่ายของประชาชน ด้านธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง ก็ทยอยปิดตัวลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสงครามภาษีของทรัมป์ที่ยังยืดเยื้อ กดดันการส่งออก ซึ่งเป็น ‘เดอะแบก’ ของเศรษฐกิจไทยปีนี้
การถดถอยของภาคอุตสาหกรรม (Deindustrialization) คือ โจทย์เร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันหาทางรอด เพื่อให้ประเทศแข่งขันในเวทีโลกต่อไปได้ ในวันที่การท่องเที่ยวหมดยุคทอง โมเดลพัฒนาเศรษฐกิจถึงทางตัน ทำอย่างไรไทยจะไม่ตกขบวน
เปิดสาเหตุอุตสาหกรรมไทยหดตัวเร็วสุดในอาเซียน
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า
เมื่อเปรียบเทียบไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน ไทยเป็นประเทศเดียวที่อุตสาหกรรมหดตัวในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จากโลกาภิวัฒน์ย้อนกลับ (Deglobalization) การค้าโลกชะลอลง ทำให้มูลค่าเพิ่มจากการค้าชะลอตาม แม้ประเทศเพื่อนบ้านจะเผชิญปัญหาเสี่ยงเดียวกัน แต่ผลกระทบไม่รุนแรงเท่า เพราะเศรษฐกิจไทยเปราะบาง จากการเข้ามาตีตลาดของสินค้าจีน โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไทยนำเข้าสินค้าจากจีนมากกว่าประเทศอื่น และสินค้าที่นำเข้าจากจีน เป็นกลุ่มเดียวกับสินค้าที่ผลิตในประเทศและผลิตเพื่อส่งออก โครงสร้างการผลิตสินค้าไทย จึงมีความเสี่ยงถูกตีตลาดมากกว่า ภาคอุตสาหกรรมไทยจึงหดตัวเร็วกว่าประเทศอื่นด้วยเช่นกัน โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือปิโตรเคมี ยานยนต์ อาหารและเครื่องดื่ม
นอกจากนี้ประชากรวัยทำงานที่ลดลง สวนทางกับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นอีกหนึ่ง ความเปราะบางที่เร่งให้อุตสาหกรรมไทย หดตัวเร็วขึ้น แม้ภาคการผลิต ทุกประเทศจะหดตัวเร็วกว่าแนวโน้มในอดีต แต่ GDP ยังโตต่อได้ในระดับ 3-4% เพราะมีประชากรวัยทำงาน มาช่วยขับเคลื่อนผลิตภาพให้กับเศรษฐกิจ
ประชากรวัยทำงานที่ลดลง นำพามาซึ่งสองปัญหาใหญ่ คือ ตลาดบริโภคลดลง ทำให้การลงทุนทำธุรกิจใหม่ๆ ลดลงตามไปด้วย จะเห็นได้จากการหดตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ รถมือสองราคาตก รถมือหนึ่งขายได้น้อยลง รวมถึงขาดศักยภาพ ในการดึงดูดการลงทุน จากต่างประเทศ เพราะขาดแคลนแรงงาน
เมื่อเทียบกับเวียดนามที่ตอนนี้เต็มไปด้วยประชากรวัยทำงานที่มีคุณภาพ การที่ประเทศไทย จะแก้ปัญหาหาแรงงานมาชดเชยให้ได้ทั้งคุณภาพและจำนวนจึง
เป็นเรื่องยาก
ปี 2026 เผาจริง ภาคผลิตไทย ไร้ปัจจัยหนุน?
ลัทธกิตติ์ ลาภอุดมการ นักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า ย้อนกลับไปปี 2024 อุตสาหกรรมยานยนต์มีการหดตัวมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมติดลบ เนื่องจากมีน้ำหนักต่อ GDP มากที่สุด ต่อมาปี 2025 อุตสาหกรรมยานยนต์เริ่มฟื้นตัว จากการให้เงินสนับสนุนของรัฐบาล เพื่อเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมรถยนต์สันดาปสู่ EV
อย่างไรก็ตามปัจจุบันเริ่มเห็นการหดตัวในหลายอุตสาหกรรมพร้อมกัน ไม่จำกัดแค่ยานยนต์
อุตสาหกรรมที่ยังเติบโตมีน้อยลง เช่น อิเล็กทรอนิกส์ที่ปีนี้ยังโตได้ดี จากการเร่งส่งออก (Frontloading) เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการภาษีต่างตอบโต้ (Reciprocal Tarriff) ของทรัมป์ ซึ่งเป็นปัจจัยน่ากังวลที่ต้องติดตามต่อในปีหน้า ว่าหากไม่มีการเร่งส่งออกแล้ว ภาคการผลิตของไทยจะหดตัวรุนแรงกว่าเดิมหรือไม่
ทั้งนี้ในปี 2026 คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะโตชะลอลงเฉลี่ย 1.6-1.8% เนื่องจากฐานสูงในปีนี้
และต้องเผชิญกับภาวะ ‘บุญเก่าอ่อนแรง บุญใหม่ยังไม่มา’ โดยไตรมาส 1/2026 คาดว่าจะโตที่ 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โมเมนตัมค่อนข้างอ่อนแรง ช่วงครึ่งปีหลัง ถึงจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัว และคาดหวังว่าจะกลับมาโตที่ระดับศักยภาพ 2% ได้ในปี 2027
ไทยหันพึ่งท่องเที่ยว แก้เกมอุตสาหกรรมโตช้า
ในอดีตการเติบโตของเศรษฐกิจโลกรวมทั้งไทยอาศัยช่วงการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก โดยภาคอุตสาหกรรมมักเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีการเติบโตเร็วกว่าภาคเศรษฐกิจอื่น เนื่องจากปัจจุบันสำคัญคือเป็นสินค้าที่สามารถค้าขายระหว่างประเทศได้ (Tradable) จึงเกิดการแข่งขันกัน และลักษณะธุรกิจ มักได้ประโยชน์จากการประหยัดต้นทุน เมื่อผลิตสินค้าจำนวนมากขึ้น (Economies of Scale)
ภาคอุตสาหกรรมจึงเป็นความหวังของประเทศกำลังพัฒนาในการเพิ่มรายได้ต่อหัวให้สูงทันกับ ประเทศพัฒนาแล้ว แต่ปัจจุบันกระบวนการหดตัวของภาคอุตสาหกรรมของประเทศกำลังพัฒนา เกิดขึ้นเร็วกว่าประเทศพัฒนาแล้วในอดีต หรือเกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศเหล่านี้ ยังมีระดับรายได้ปานกลาง เป็นเหตุผลให้ประเทศกำลังพัฒนาเริ่มเติบโตช้าลง และมีรายได้ที่ห่างจากประเทศพัฒนาแล้วมากขึ้น
เมื่อย้อนกลับมาดูที่โครงสร้างเศรษฐกิจไทยได้เปลี่ยนผ่านจากภาคการผลิตมาสู่ภาคบริการมากขึ้น จากการขยายตัวของการท่องเที่ยว โดยภาคบริการมีบทบาทสำคัญทดแทนภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากมิติแรงส่งต่อการเติบโตของ GDP (Contribution to growth) ในช่วงปี 2011 – 2019 ซึ่งภาคบริการมีแรงส่ง 3.2ppt มากกว่าภาคการผลิตที่ 0.5ppt
เช่นเดียวกับขนาดเศรษฐกิจ โดยสัดส่วนของภาคบริการต่อขนาดเศรษฐกิจทั้งหมดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากประมาณ 55% ในปี 2011 เป็น 62% ในปัจจุบัน และในมิติของตลาดแรงงาน ช่วงที่ผ่านมาแรงงานสามารถย้ายไปยังภาคบริการได้ โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยว ที่อาศัยกระแสนักท่องเที่ยวจีนที่ขยายตัวขึ้นเร็ว ในช่วงหลังปี 2012 เป็นต้นมา แม้ว่ามูลค่าเพิ่มและผลิตภาพของแรงงานในภาคท่องเที่ยวอาจไม่สูงมากนัก แต่ยังสูงกว่าภาคเกษตรและชดเชยการหดตัวของภาคอุตสาหกรรมได้บ้างในช่วงที่ผ่านมา
3 เหตุผล ไทยไม่พร้อมเปลี่ยนโมเดลเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม KKP ประเมินว่า จากสถานการณ์ปัจจุบัน ไทยยังไม่พร้อมในการทิ้งภาคอุตสาหกรรมและหันไปพึ่งพาภาคบริการในทันที ด้วย 3 เหตุผล
- ภาคบริการที่ไทยพึ่งพาแทนภาคอุตสาหกรรมเป็นบริการมูลค่าเพิ่มต่ำ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ซึ่งโดยปกติมักมีระดับรายได้ต่อหัวเฉลี่ยที่ต่ำกว่าภาคอุตสาหกรรม และเป็นภาคบริการที่ให้บริการเฉพาะในประเทศและไม่สามารถส่งออกหรือขยายกิจการให้มีขนาดใหญ่ขึ้นได้แบบการส่งออกสินค้า ส่วนใหญ่การบริการในไทยยังเป็นแบบเก่าต่างจากบริการในประเทศพัฒนาแล้ว
- ภาคบริการมีผลิตภาพที่ต่ำกว่าภาคการผลิต เนื่องจากภาคบริการส่วนใหญ่เป็น Non-tradable goods และไม่มีแรงกดดันในการแข่งขันจากต่างประเทศ ทำให้ความจำเป็นในการพัฒนาผลิตภาพมีไม่มาก
- ไทยขาดแรงงานทักษะสูงที่พร้อมต่อการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจสู่ภาคบริการมูลค่าเพิ่มสูง แม้ว่าภาคบริการหลายกลุ่มในสมัยใหม่จะมีลักษณะที่สามารถเติบโตและส่งออกไปยังต่างประเทศได้ ตัวอย่างเช่น การให้บริการทางการเงิน การให้บริการด้านคำแนะนำทางกฎหมาย แต่ประเทศไทยไม่มีความพร้อมจากทั้งแรงงานทักษะสูงที่อยุ่ในระดับต่ำและความสามารถในการดึงดูดแรงงานทักษะสูงที่ไม่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้
บทสรุป คือ การปล่อยให้ภาคอุตสาหกรรมทั้งหมดหายไป นั้น ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด โดยในทางปฏิบัติภาครัฐ ควรพิจารณาสาเหตุของการชะลอตัว ของภาคอุตสาหกรรม ผ่านการศึกษาเชิงลึก เพื่อแยกกลุ่มว่าอุตสาหกรรมใดไม่สามารถแข่งขันได้ หรืออุตสาหกรรมใดที่ยังมีศักยภาพในการแข่งขัน และมีนโยบายส่งเสริม ให้ภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวและพัฒนานวัตกรรมอย่างเหมาะสมในระยะยาว รวมทั้งตั้งเป้าหมายในการดึงดูดการลงทุนทางตรงในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจในประเทศได้อย่างแท้จริง
โดยเฉพาะพัฒนาอุตสาหกรรมชั้นสูงและบริการมูลค่าเพิ่มสูงที่เป็นตัวนำการเติบโตได้ เช่น ธุรกิจ IT Outsourcing / Software engineering ในอินเดีย ธุรกิจ Finance / Tech services ในสิงคโปร์ ธุรกิจ IT Export ใน Ireland โดยต้องทำการศึกษาอย่างจริงจังว่าไทย มีโอกาสสร้างความสามารถ การแข่งขันในด้านใด
ดร.พิพัฒน์ กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันมูลค่า GDP ไทยขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค หากไม่ทำอะไรเลยกับปัญหาเชิงโครงสร้าง มีโอกาสที่จะตกไปอยู่อันดับ 5 ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คล้ายกับฟิลิปปินส์ที่เศรษฐกิจทรุดจนถูกขนานนามว่าเป็นคนป่วยแห่งเอเชีย


