หลังจากนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ได้ประกาศยุบสภา เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 เปิดทางสู่การจัดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ ซึ่งการเลือกตั้งใหม่ต้องจัดขึ้นภายใน 45-60 วัน นับจากวันที่ยุบสภา (คาดว่าจะอยู่ระหว่างวันที่ 26 มกราคม -10 กุมภาพันธ์ 2569) นักเศรษฐศาสตร์มองว่า การยุบสภาเร็วขึ้นไม่น่าเปลี่ยนภาพรวมเศรษฐกิจไทยมากนัก โดย CIMB THAI และ KResearch ยังคงประมาณการเศรษฐกิจปีนี้และปีหน้าไว้เท่าเดิม พร้อมมองว่า โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับภาวะถดถอยมีต่ำ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา มีโครงการคนละครึ่งพลัสเข้ามาช่วยประคอง และผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ต่อการส่งออกไทยก็ล่าช้าออกไป
CIMB THAI เปิดความเสี่ยงด้านลบและบวกจากการยุบสภาเร็วกว่าที่คาด
ดร.อมรเทพ จาวะลา Head, Research Office ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB THAI) ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ว่าการยุบสภาที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา เกิดขึ้นก่อนไทม์ไลน์เดิมเพียงเล็กน้อย จึงไม่เปลี่ยนภาพรวมมุมมองทางเศรษฐกิจไปมากนัก ดังนั้น CIMB THAI จึงยังคงประมาณการ GDP ปี 2568 และ 2569 ไว้เท่าเดิมที่ 2.2% และ 1.7% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ดร.อมรเทพ มองความเสี่ยงทางเศรษฐกิจจากการยุบสภารอบนี้ไว้ 3 ด้าน ได้แก่
- กำลังซื้อที่อาจยังอ่อนแอจากการขาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น มาตรการคนละครึ่งพลัส มาตรการภาษี และมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยการขาดมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อเหล่านี้ไป อาจทำให้เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1 ชะลอตัวลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงต้องติดตามว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะอนุมัติให้มีการใช้มาตรการใด ๆ ได้หรือไม่ และรัฐบาลรักษาการจะมีอำนาจมากแค่ไหน
- การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่อาจได้รับผลกระทบ เนื่องจากอาจมีนักลงทุนต่างชาติบางกลุ่มเลือกที่จะรอดูสถานการณ์ (Wait and See) นโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ก่อน อย่างไรก็ตาม ดร.อมรเทพ เชื่อว่า ผลกระทบต่อ FDI จะไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติที่วางแผนลงทุนในไทย ส่วนใหญ่วางแผนในระยะยาวอยู่แล้ว
- ความผันผวนของตลาดการเงินและตลาดทุน แม้ว่าการยุบสภาอาจทำให้นักลงทุนตื่นตกใจและเกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน แต่ ดร.อมรเทพ มองว่าประเด็นนี้ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ เพราะคนส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้แล้วว่าจะเกิดการยุบสภาในไม่ช้า
เปิดปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจจากการยุบสภาเร็ว
ดร.อมรเทพกล่าวต่อว่า การยุบสภาที่เร็วขึ้นถือเป็นการสลายความไม่ชัดเจนของรัฐบาลเสียงข้างน้อย และทำให้ปัญหาที่ค้างคาต่างๆ เช่น การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่หยุดชะงักสามารถกลับมาเดินหน้าได้เร็วขึ้น
นอกจากนี้ อาจทำให้ความเสี่ยงงบประมาณล่าช้าจะลดลง และจะไม่รุนแรงเหมือนการเลือกตั้งครั้งก่อน เนื่องจาก การยุบสภาตอนนี้จะทำให้เกิดการเลือกตั้งในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ และคาดว่า การจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 2 ซึ่งจะทำให้การจัดทำงบประมาณปี 2570 เป็นไปตามกำหนดทันเดือนตุลาคม ฉะนั้นความเสี่ยงเรื่องงบประมาณล่าช้าจึงมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยลง
KResearch ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทย แต่จับตาความไม่แน่นอนหลังเลือกตั้ง
ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่าการยุบสภาเกิดเร็วกว่าที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดไว้ราวครึ่งเดือน ไม่ได้เปลี่ยนภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปี 2569 โดย KResearch ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2569 ไว้ที่ 1.6% และคาดว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีนี้จะอยู่ที่ราว 2% ที่เคยประมาณไว้
ณัฐพร ยังมองว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) ซึ่งเกิดจากการเติบโตของ GDP แบบไตรมาสต่อไตรมาส (QoQ) ติดลบต่อกัน 2 ไตรมาส “ไม่น่าจะเกิดขึ้น” ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ หรือในช่วงต้นปีหน้า เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา มีโครงการคนละครึ่งพลัสเข้ามาช่วยประคอง และผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ต่อการส่งออกไทยก็ล่าช้าออกไป
“สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจในปีหน้าคาดว่า จะดูซึมลง จากตัวขับเคลื่อนหลักทางเศรษฐกิจจะอ่อนแรงลงทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาดูปัจจัยต่างๆ ประกอบด้วย เช่น ผลการเลือกตั้ง ความรวดเร็วในการจัดตั้งรัฐบาล และหน้าตาของรัฐบาลใหม่จะเป็นอย่างไร เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้ยังมีผลต่อความต่อเนื่องของนโยบายที่รัฐบาลชุดปัจจุบันได้ดำเนินการอยู่” ณัฐพรกล่าว
สำหรับผลกระทบจากการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 ในช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ที่เป็นรัฐบาลรักษาการนั้น ณัฐพร กล่าวว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้นำผลกระทบนี้มาพิจารณาแล้ว โดยอธิบายว่า “ปกติแล้ว เมื่อเป็นรัฐบาลรักษาการ การเบิกจ่ายงบลงทุนจะลดลงเล็กน้อยต่ำกว่าค่าเฉลี่ย อย่างไรก็ตาม หากมีการจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างรวดเร็ว การเบิกจ่ายจะสามารถเร่งตัวขึ้นได้ในไตรมาส 2”
มองการเลือกตั้งน่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคได้
ณัฐพร กล่าวต่อว่าในช่วงที่มีการเลือกตั้ง การบริโภคของภาคครัวเรือนไม่น่าจะลดลง เนื่องจากกิจกรรมและการใช้จ่ายเงินในการเลือกตั้งเป็นปัจจัยสนับสนุน แม้ว่าอาจจะไม่มีโครงการคนละครึ่ง เฟส 2 ก็ตาม
นอกจากนี้ เงินงบประมาณที่เหลือใช้ในงบกลางปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 6 หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งเป็นกรอบวงเงินที่อาจจะนำมาใช้ในโครงการคนละครึ่งเฟส 2 แต่แม้จะไม่มีโครงการนี้ เงินจำนวนนี้ก็ยังคงอยู่ ดังนั้น หากรัฐบาลใหม่สามารถจัดตั้งได้เร็ว รัฐบาลใหม่ก็จะสามารถใช้กรอบวงเงินนี้ได้ ทำให้เม็ดเงินก็จะหมุนเวียนอยู่ในปีปฏิทิน 2560 อยู่ เพียงแต่ถูกชะลอ (delay) ออกไปเท่านั้น
การยุบสภามีส่วนช่วยสนับสนุนให้ กนง. ลงเสียงลดดอกเบี้ยได้ง่ายขึ้น
ดร.อมรเทพยังมองว่า การยุบสภามีส่วนช่วยสนับสนุนให้ กนง. ลงคะแนนเสียงลดดอกเบี้ยได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น ในการประชุมนัดสุดท้ายของปีวันที่ 17 ธันวาคมนี้ เนื่องจากนโยบายการคลังจะไม่สามารถนำมาใช้ได้แล้ว และความเสี่ยงทางเศรษฐกิจมีมากขึ้น
พร้อมทั้งระบุว่า แม้ว่า การลดดอกเบี้ยจะไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรง แต่อย่างน้อยก็ช่วยลดภาระให้กับผู้มีหนี้สิน หรือเพิ่มสภาพคล่องได้
ดร.อมรเทพ ยังคาดหวังว่า ในระยะต่อไป จะมีการประสานกันมากขึ้นระหว่างกระทรวงการคลังและธปท.ต่อไป ในการช่วยเหลือ SME และกลุ่มผู้มีรายได้น้อย รวมถึงการจัดตั้งกิจการร่วมทุนระหว่างสถาบันการเงิน (ธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินเฉพาะกิจ) และบริษัทบริหารสินทรัพย์ (JV AMC)
เช่นเดียวกับ ณัฐพร ก็มองว่า กนง. น่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในรอบเดือนธันวาคมนี้ลง 0.25% เช่นกัน โดยกนง. น่าจะมองไปข้างหน้า (looking forward) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 ที่ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักจะอ่อนแรงลง ภายใต้รัฐบาลรักษาการ และหากภาพรวมเศรษฐกิจผิดไปจากที่เคยคาดการณ์ไว้ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการลดดอกเบี้ยเช่นกัน
นโยบายเศรษฐกิจที่อยากเห็นจากพรรคการเมือง
ดร.อมรเทพ กล่าวว่า อยากเห็นนโยบายเศรษฐกิจที่เน้นใน ‘ระยะกลางและระยะยาว’ มากกว่านโยบายระยะสั้น เนื่องจาก พรรคการเมืองส่วนใหญ่มักหาเสียงด้วยนโยบายระยะสั้นอยู่แล้ว เช่น การขึ้นค่าแรงหรือการแจกเงิน
แต่สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์อยากเห็นคือ แผนการที่จะ ยกระดับเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ อาจจะไม่ต้องถึง 3% แต่ให้มากกว่า 2% ในระยะยาว ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังไม่เห็นพรรคใดหาเสียงไว้
เช่นเดียวกับ ณัฐพร ที่ห่วงความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในระยะกลางและยาว โดยเฉพาะความเสี่ยงทางการคลัง โดยระบุว่า “หากแนวทางการจัดการความเสี่ยงด้านการคลังไม่สามารถทำได้ในทางปฏิบัติ ไทยก็มีความเสี่ยงที่จะถูกลดอันดับเครดิตเรตติ้งลงได้ นอกจากนี้ ก็ยังต้องรอติดตามนโยบายของรัฐบาลใหม่เกี่ยวกับประเด็นการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจด้วย”
“ความเสี่ยงด้านการคลังยังคงเป็นประเด็นที่หน่วยงานจัดอันดับเครดิตเรตติ้งจับตาอยู่ แม้รัฐบาลชุดปัจจุบันได้ประกาศแผนที่จะเริ่มลดการขาดดุลในปีงบประมาณ 2570 เนื่องจากปี 2569 ไม่สามารถทำได้ทันแล้ว ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ที่ว่า รัฐบาลใหม่จะสานต่อและดำเนินนโยบายลดการขาดดุลต่อเนื่องในการทำงบประมาณปี 2570 หรือไม่” ณัฐพร กล่าว


