เศรษฐกิจโลกและไทยยังไม่แน่นอนสูง ทั้งสงครามตะวันออกกลาง กรอบเวลาที่กระชั้นชิดของการเจรจาภาษีสหรัฐฯ ‘ม.หอการค้าไทย’ หั่น GDP ปีนี้ 2568 โตต่ำ 1.7% ชี้ภาพรวมเศรษฐกิจเผชิญแรงกดดันรุนแรง สินค้าจีนทะลัก หนี้ครัวเรือนสูง แนะรัฐเร่งเจรจาการค้า เบิกจ่ายงบรัฐ
ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยว่า ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทย ในปี 2568 ลงเหลือ 1.7% จากคาดการณ์เดิมที่เคยประเมินไว้ล่าสุดเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 ที่ระดับ 3%
เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2568 เผชิญแรงกดดันรุนแรง การเติบโตเศรษฐกิจปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยที่แนวโน้ม GDP สามารถผันผวนได้ในช่วง 0.9-2.3% ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
เจรจาภาษีกับสหรัฐฯ-ปมตะวันออกกลาง-ค้าชายแดนกัมพูชา-เสถียรภาพรัฐบาล ซ้ำเติม GDP ไทย
โดยมองว่า มาตรการภาษีของสหรัฐฯ กระทบการส่งออกหนัก คาดว่าการส่งออกลดลง 1.26-1.93% ขึ้นอยู่กับผลการเจรจา ขณะที่สินค้าจีนไหลทะลักเข้าไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เปิด 5 ข้อเสนอที่ขุนคลังสหรัฐฯ เอ่ยปากชมไทย เผยเบื้องหลังกุนซือทีมไทยแลนด์ อัปเดตประเทศไหนเจรจาไปแล้วบ้าง?
- ไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? วิกฤตขีดความสามารถในการแข่งขัน เมื่อบุญเก่าหมด คนเก่งสมองไหล การเมืองไร้เสถียรภาพ
- ป่วนทั้งตลาด! เวียดนามแอบสวมสิทธิ์กดราคาส่งออกทุเรียนไทย อีกไม่นานเสี่ยงถูกเพื่อนบ้าน ‘ล้มแชมป์’ ปัญหาอยู่ที่ใคร
ทั้งนี้ การลงทุนเอกชนหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 คาดหดตัว -1.2% ใน 2568 สะท้อนความเชื่อมั่นที่อ่อนแอและปัญหาโครงสร้างที่ลึกซึ้ง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 65.1% เท่านั้น
ขณะที่การผลิตฟื้นตัวช้ากว่าการส่งออก การบริโภคเอกชนชะลอเหลือ 2.4% จากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงถึง 87.4% ต่อ GDP กดดันกำลังซื้อในช่วงที่เหลือของปี และภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวล่าช้า นักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวเพียง 40.3% เทียบก่อนโควิด-19 จากปัญหาความปลอดภัยและการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัยเสี่ยง รวมถึงการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ (กรกฎาคม 2568), ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน, ความตึงเครียดไทย-กัมพูชาและเสถียรภาพรัฐบาล ขณะที่การปรับเปลี่ยนจากโครงการแจกเงินฯ ไปสู่โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท มี Fiscal Multiplier สูงกว่า (1.3 เท่า) แต่ประสิทธิผลขึ้นอยู่กับความสามารถในการเบิกจ่าย
ทั้งนี้ ประเมินว่าการเติบโตเศรษฐกิจปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยให้กรอบ 1.5-2.0% ค่ากลางที่ 1.7% ลดลงจากประมาณการเดิม 3.0% โดยอยู่ในกรณีฐานที่ไทยถูกเรียกเก็บภาษี (Tariff) ในอัตรา 15-20% ความขัดแย้งอิหร่าน-อิสราเอล และความตึงเครียดไทย-กัมพูชา สามารถคลี่คลายได้เร็ว งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท สามารถเบิกจ่ายได้ 50% และ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งจนถึงสิ้นปี 2568
จับตาในวันที่ 1 กรกฎาคม ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคลิปเสียงนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม แนวโน้ม GDP สามารถผันผวนได้ในช่วง 0.9-2.3% ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัจจัยเสี่ยงต่างๆ พร้อมเสนอให้รัฐเร่งเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ, เร่งรัดการเบิกจ่าย, ดูแลกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบ, แก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือน, กระตุ้นการลงทุนเอกชน และเสริมสร้างความยืดหยุ่นของระบบเศรษฐกิจเพื่อรับมือความไม่แน่นอน
รศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า ประมาณการเศรษฐกิจไทยครั้งนี้ เป็นการประเมินที่อยู่บนพื้นฐานความไม่แน่นอน หากการเมืองมีเสถียรภาพ และสามารถเบิกจ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ได้ถึง 70% มีโอกาสที่จีดีพีจะขยับขึ้นไปแตะ 2-2.3%
“หากการเจรจากับสหรัฐฯ ไม่ทันภายในกรอบระยะเวลา 90 วัน หรือวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 ขณะนี้ก็เชื่อว่าสหรัฐฯ มีโอกาสที่จะขยายเวลาออกไป”
นอกจากนี้ ยังต้องจับตาในวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องกรณีคลิปเสียง และมีคำสั่งให้ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่
ส่วนกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับประมาณการเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเป็น 2.3% มองว่าอาจจะเห็นโอกาสที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัว จึงยังไม่ลดดอกเบี้ย ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวานนี้ (25 มิ.ย.) อย่างไรก็ตาม มองว่า กนง.จะลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง ในปีนี้ เหลือ 1.25%
สำหรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย คือ เร่งเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ, เร่งรัดการเบิกจ่าย, ดูแลกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบ, แก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือน, กระตุ้นการลงทุนเอกชน และเสริมสร้างความยืดหยุ่นของระบบเศรษฐกิจเพื่อรับมือความไม่แน่นอน
เร่งแก้ 7 ข้อ ระยะเร่งด่วน (1-6 เดือน)
- เร่งเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ก่อนครบกำหนด 9 กรกฎาคม 2568 เพื่อลดอัตราภาษีลงจากระดับสูงสุดที่ 36%
- เร่งเบิกจ่ายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท โดยเน้นกลุ่มลดผลกระทบส่งออก/เพิ่มผลิตภาพ
- เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน เป้าหมายไม่ต่ำกว่า 70%
- ฟื้นฟูความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวจีนแบบเร่งด่วน พร้อมขยายตลาดทดแทน
- ดูแลผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการการค้า ทั้งผู้ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ และผู้ผลิตที่กระทบจากสินค้าทะลักเข้าไทย
- ดูแลผู้ค้าชายแดนที่สูญเสียรายได้ 100% และธุรกิจส่งออก เพื่อรักษาสภาพคล่องระหว่างรอสถานการณ์คลี่คลาย
- กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศแบบมีเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มรายได้ปานกลาง
ห่วงกัมพูชาห้ามนำเข้าสินค้าไทย-ภาษีสหรัฐฯ กระทบคำสั่งซื้อปลายปี
ด้าน พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยมีเห็นถึงความตั้งใจของหน่วยงานภาครัฐที่กำลังเร่งทำงานอย่างเต็มที่สำหรับการเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา ท่ามกลางกรอบเวลาที่กระชั้นชิด
“ด้วยข้อจำกัดของเวลาและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในช่วงฤดูกาลรับคำสั่งซื้อปลายปี หอการค้าฯจึงขอให้ทุกฝ่ายเร่งสร้างความชัดเจนในแนวทางการดำเนินงานโดยเร็ว เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถเตรียมตัวและปรับแผนได้ทันที ซึ่งสัญญาณยอดคำสั่งซื้อชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม และต้นเดือนมิถุนายน หากไม่มีความชัดเจนก็จะกระทบยอดส่งออกครึ่งปีหลังอย่างมาก”
นอกจากนี้ หอการค้าไทยยังติดตามสถานการณ์ด้านการค้าการลงทุนกับประเทศกัมพูชาอย่างใกล้ชิด โดยกัมพูชาออกมาตรการห้ามนำเข้าสินค้าบางประเภทจากประเทศไทย
“เชื่อว่ายังมีแนวทางในการบริหารจัดการสินค้าเหล่านี้ให้สามารถกระจายไปยังตลาดอื่นได้ ล่าสุดหอการค้าไทยได้ร่วมมือกับห้างสรรพสินค้าชั้นนำในการกระจายสินค้าที่ได้รับผลกระทบ เช่น ผักและผลไม้”