×

‘กสิกรไทย’ คาดส่งออกไทยปี 66 ไม่สดใส เสี่ยงหดตัว 1.5% หลังคู่ค้าสำคัญต่างเผชิญมรสุมทางเศรษฐกิจ

28.12.2022
  • LOADING...

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินภาพการส่งออกไทยในปี 2566 มีความเสี่ยงหดตัวที่ 1.5% โดยคาดว่ามีมูลค่าอยู่ที่ราว 2.82 แสนล้านดอลลาร์ จากหลายปัจจัย ได้แก่ ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจคู่ค้าที่เปราะบางมากขึ้นอีก ฐานการส่งออกที่ทำสถิติสูงต่อเนื่องในปีนี้ ปัจจัยด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์ชะลอตัว ตลอดจนปัจจัยเฉพาะของแต่ละสินค้าที่ล้วนทำให้ภาพการส่งออกในปีหน้าไม่สดใสเท่าที่ควร โดยมีรายละเอียดดังนี้ 

 

  1. เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงสะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของประเทศเศรษฐกิจหลักของโลกอย่างสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน อยู่ในระดับต่ำกว่า 50 อย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 4/65 โดยตลาดส่งออกหลักของไทยเจอมรสุมเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน 
  • ตลาดสหภาพยุโรป ที่มีแนวโน้มอ่อนไหวกว่าตลาดอื่นๆ ด้วยวิกฤตพลังงาน และเงินเฟ้อที่สูงเป็นประวัติการณ์ ยิ่งจำกัดการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยที่คิดเป็นเกือบ 30% ของการส่งออกไทยไปสหภาพยุโรป 
  • ตลาดสหรัฐฯ จะยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้คาดว่าการส่งออกในสินค้าหลายประเภท เช่น ยานยนต์ อัญมณี คงจะหดตัวลง แม้ว่าการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์โทรศัพท์คาดว่าอาจยังขยายตัวได้หลังจากที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วง 2 ปีมานี้ ส่วนหนึ่งเป็นการเบนเข็มการส่งออกจากตลาดจีนไปตลาดสหรัฐฯ อันเนื่องมาจากสงครามการค้า 
  • ตลาดญี่ปุ่น แม้เศรษฐกิจเปราะบางแต่ยังต้องการสินค้าอาหารและปัจจัยการผลิต  ที่ต้องยอมรับว่าทำตลาดได้เติบโตอย่างจำกัด   
  • ตลาดจีน ที่มาตรการโควิดเป็นศูนย์ผ่อนคลายไปมาก ส่งผลให้คาดว่ากำลังซื้อในประเทศจะฟื้นกลับมาช่วยขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าอาหารไทย แต่ยังมีประเด็นท้าทายด้านการแข่งขันที่สูงขึ้นในผลิตภัณฑ์ผลไม้ไทย ในขณะที่สินค้าส่งออกไทยที่มีสัดส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับโภคภัณฑ์อาจเผชิญการส่งออกที่มีมูลค่าลดลงจากผลของราคา 
  • ตลาดอาเซียน แม้เศรษฐกิจในภาพรวมของสมาชิกยังมีภาพบวก แต่สินค้าไทยที่ส่งไปราว 30% ล้วนอิงกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทำให้การส่งออกไปตลาดดังกล่าวอ่อนแรงพอสมควร 

 

  1. สินค้าฟุ่มเฟือยและสินค้าที่อิงกับสินค้าโภคภัณฑ์เสี่ยงหดตัวในทุกตลาด เช่น น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก และเคมีภัณฑ์ ล้วนเป็นผลจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีแนวโน้มอ่อนแรงลงตามอุปสงค์โลกที่ลดลง แม้ในระยะข้างหน้าจีนจะมีการเปิดประเทศ ก็คาดว่าความต้องการที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ให้กลับมาพุ่งขึ้นกลับไปใกล้เคียงระดับในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 นั้นยังจำกัด 

 

ขณะที่สินค้าฟุ่มเฟือยอย่างอัญมณีและเครื่องประดับ ยานยนต์และชิ้นส่วน รถจักรยานยนต์และชิ้นส่วน ยางและผลิตภัณฑ์ที่ส่วนใหญ่เป็นยางล้อรถยนต์ คงทำตลาดได้อย่างจำกัด เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของคู่ค้าไทย โดยเฉพาะตลาดสหภาพยุโรปที่เป็นปลายทางสินค้าฟุ่มเฟือยที่สำคัญ

 

  1. สินค้าจำเป็นในหมวดอาหารยังรุ่ง แต่สินค้าอาหารมีมูลค่าไม่สูงเมื่อเทียบกับสินค้าอุตสาหกรรม โดยมีสัดส่วน 12% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย จึงยังไม่สามารถชดเชยการชะลอตัวลงของสินค้าขั้นกลางและสินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ ทั้งนี้ การส่งออกผลไม้ (ทุเรียน) ที่เป็นสินค้าอาหารอันดับ 1 ล้วนส่งออกไปจีน ซึ่งในเวลานี้ต้องเผชิญการแข่งขันกับทุเรียนจีน เวียดนาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ เข้ามาทำตลาดจีนมากขึ้น รวมทั้งยังมีประเด็นมาตรฐานการปลูก (GAP) และโรงคัดบรรจุ (GMP) สำหรับสินค้าน้ำตาลที่อาจเติบโตได้ไม่มากนักจากราคาที่ปรับลดลง รวมถึงสินค้าอาหารอื่นๆ ยังคงทำตลาดได้ เช่น ไก่แปรรูป อาหารทะเลแปรรูป ข้าว เครื่องดื่ม และอาหารสัตว์เลี้ยง

 

  1. สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังมีโอกาสเติบโตในบางตลาด โดยสินค้าเพื่อตอบโจทย์กิจกรรม Work form Home เติบโตอย่างจำกัด เนื่องจากตลาดค่อนข้างอิ่มตัวไปแล้วหลังจากที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงปี 2564-2565 แต่สินค้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์บางรายการยังได้อานิสงส์จากความต้องการผลิตสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยีที่กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปแล้ว โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดที่เป็นแหล่งผลิตสินค้าเทคโนโลยีอย่างญี่ปุ่น จีน และอาเซียน ที่ยังมีสัญญาณเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ 

 

แต่สิ่งที่น่าจับตาอีกแห่งคือฐานการผลิตในสหรัฐฯ เริ่มเดินเครื่องการผลิตจากการการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนในช่วงที่ผ่านมา นั่นทำให้มีความต้องการสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในช่วงเวลาดังกล่าว เช่น HDD โทรศัพท์และชิ้นส่วน และไดโอด 

 

โดยสรุปศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าการส่งออกของไทยในปี 2566 มีความเสี่ยงหดตัวที่ 1.5% โดยคาดว่ามีมูลค่าอยู่ที่ราว 2.82 แสนล้านดอลลาร์ สินค้าในหมวดหมู่สินค้าโภคภัณฑ์ที่อาจหดตัวจากราคาที่ลดลงตามอุปสงค์โลก ขณะที่สินค้าฟุ่มเฟือย เช่น อัญมณี ยานยนต์ ก็อาจทำตลาดในเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญได้อย่างจำกัด อีกทั้งสินค้าอาหารที่แม้ยังเติบโตแต่ก็มีสัดส่วนน้อย ส่วนสินค้าที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนให้การส่งออกพลิกกลับมาขยายตัวอยู่ที่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ที่ขึ้นอยู่กับกำลังซื้อของผู้บริโภคในแต่ละตลาดเป็นหลัก 

 

อย่างไรก็ดี หากมีการเร่งเดินหน้าทำตลาดส่งออกในภูมิภาคต่างๆ ของโลก ที่ไม่ใช่ตลาดหลักของไทย โดยเฉพาะตลาดตะวันออกลาง รวมถึงหากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกส่งผลต่อความต้องการสินค้านำเข้าน้อยกว่าที่คาด การส่งออกของไทยในปี 2565 ยังมีโอกาสที่จะไม่เติบโตหรือขยายตัวเล็กน้อย


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


 

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising