EIC คาดเงินเฟ้อโลกอยู่สูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางนาน 1-2 ปี กดดันภาวะการเงินตึงตัวทั่วโลกจนเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า มองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่จะอยู่ต่ำกว่าระดับศักยภาพไปอีก 1-2 ปี คาด กนง. ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแตะ 2% ณ สิ้นปี 2566
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์เศรษฐกิจโดยระบุว่า เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันเริ่มมีสัญญาณชะลอลงชัดเจนขึ้นจากเงินเฟ้อโลกที่ชะลอลงช้า และคาดว่าจะอยู่สูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางนาน 1-2 ปี โดยการชะลอตัวเป็นผลจากธนาคารกลางทั่วโลกดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดมากขึ้น ส่งผลให้ภาวะการเงินตึงตัวทั่วโลก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ความท้าทาย ‘ เศรษฐกิจไทย ปี 2566 ’ กับการปรับตัวของภาคธุรกิจ
- ฉวยจังหวะค่าเงินอ่อน ส่องโอกาสลงทุนหุ้นโลก สร้างพอร์ตเติบโตระยะยาว
- ‘ส่วนต่างรายได้’ กับนโยบายรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ
โดยประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 จากนโยบายการเงินตึงตัวที่เข้าสู่ระดับ Restrictive นานขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจยูโรโซนจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงปลายปี 2565 จากวิกฤตพลังงานและนโยบายการเงินตึงตัวเร็ว ส่วนเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงมากจากมาตรการ Zero-COVID ที่ยังคงดำเนินอยู่ ประกอบกับความอ่อนแอในภาคอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้ EIC มองว่า หากนโยบายการเงินโลกตึงตัวมากขึ้นอีก 1.00-2.00% จากกรณีฐาน เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวรุนแรงหรือเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ในปีหน้า
สำหรับเศรษฐกิจในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่มีหนี้สูง ภาครัฐจะเผชิญต้นทุนกู้ยืมแพงขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาทางการเงิน (Financial Distress) และมีข้อจำกัดทางการคลังในการสนับสนุนเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
ด้านภาวะเศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวได้ต่อเนื่องโดยมีภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญท่ามกลางสัญญาณเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและมีความไม่แน่นอนสูง โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 4 ช่วงฤดูท่องเที่ยวไทย การบริโภคภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้นเกือบทุกหมวด ในระยะต่อไปยังมีปัจจัยหนุนจากการจ้างงานโดยเฉพาะในภาคบริการ และรายได้ภาคท่องเที่ยวและภาคบริการที่ปรับดีขึ้น
แต่ยังมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อสูงและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น การส่งออกสินค้าขยายตัวต่อเนื่องจากฐานต่ำ แต่เริ่มเห็นการหดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนในเกือบทุกกลุ่มสินค้าหลักและในตลาดสำคัญ ในระยะต่อไปการส่งออกจะชะลอลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เช่นเดียวกับทิศทางการลงทุนและการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก
สำหรับสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในปีนี้ EIC ประเมินว่า ในกรณีฐานผลกระทบจะไม่รุนแรงเท่าในปี 2554 โดยเบื้องต้นคาดว่าพื้นที่เกษตรจะได้รับผลกระทบ 1.9 ล้านไร่ หรือคิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 12,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรง และขยายวงกว้างมากขึ้น จะต้องติดตามประเมินผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้า และการท่องเที่ยวเพิ่มเติม
ด้านเงินเฟ้อทั่วไปผ่านจุดสูงสุดแล้ว จากราคาหมวดพลังงานที่ปรับชะลอลง แต่เงินเฟ้อขยายวงกว้างไปสินค้าหลายประเภทมากขึ้นทำให้เงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวสูงกว่ากรอบเป้าหมาย ในระยะต่อไปคาดว่าเงินเฟ้อจะปรับลดลงอย่างช้าๆ โดยจะเห็นการส่งผ่านต้นทุนจากผู้ผลิตสู่ราคาผู้บริโภคมากขึ้น
ทั้งนี้ EIC คาดว่า กนง. จะทยอยขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับ 2% ณ สิ้นปี 2566 โดย กนง. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปอีก 0.25% ในเดือนพฤศจิกายน สู่ระดับ 1.25% ณ สิ้นปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อมีแนวโน้มผ่านจุดสูงสุดแล้ว แม้จะไม่ปรับลดลงเร็วนัก ประกอบกับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ในปี 2566 กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 3 ครั้ง เพื่อให้นโยบายการเงินทยอยกลับสู่ระดับที่เหมาะสมกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยระยะยาว
โดย EIC คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับไประดับ Pre-COVID ได้ในช่วงกลางปี 2566 แต่จะอยู่ต่ำกว่าระดับศักยภาพไปอีก 1-2 ปี จากแผลเป็นเศรษฐกิจที่ลึกและมีหนี้สูงขึ้น