หากเราเปรียบละครไทยเป็นอาหารจานหลักคู่ปากสักจาน เราคงเปรียบละครไทยปี 2018 เป็นอาหารครบรสแซ่บๆ จานหนึ่งที่น่าจดจำ เพราะปีนี้ต้องยอมรับว่าการแข่งขันของแต่ละช่องนั้นดุเดือดเลือดพล่านมากๆ หลังจากที่ กสทช. เองได้ประกาศยุติการออกอากาศในรูปแบบสัญญาณอะนาล็อกทั้งหมด เพื่อก้าวเข้าสู่โลกของดิจิทัลแบบเต็มตัว และในช่วงเวลานี้เองที่ช่องโทรทัศน์อื่นๆ ที่ไม่เคยเป็นช่องหลักจะต้องรีบสร้างฐานแฟน และละครคือไพ่ใบสำคัญที่จะพลิกเรตติ้งให้ต่อกรกับช่องอื่นๆ ได้
ปี 2018 นี้เองที่เราได้เห็นแรงกระเพื่อมใหม่ๆ เกิดขึ้นในวงการละครไทย ทั้งการกวาดเรตติ้งของช่อง One 31 ที่เอาชนะละครในช่องหลักเก่าที่มีฐานแฟนหนาแน่นได้อย่างหมดจด หรือการที่ช่อง 3 เองก็มีกราฟความนิยมที่ไม่เสถียรถึงแม้จะเป็นเจ้าของละครที่เรตติ้งสูงสุดแห่งปีอย่าง บุพเพสันนิวาส ส่วนช่อง 7 ก็ยังคงครองความเป็นเบอร์หนึ่งของประเทศจากละครที่เรตติ้งสูง ซึ่งต้องยอมรับจริงๆ ว่าฐานแฟนนอกเมืองของเขายังคงแข็งแกร่งยากเกินจะทลายได้
บุพเพสันนิวาสฟีเวอร์
ถ้าจะอธิบายปรากฏการณ์นี้อย่างตรงไปตรงมา เราคงต้องยกวลีว่า ‘ให้เขาเถอะ’ ทดแทนกระแสอันร้อนแรงไปทั่วประเทศ เพราะด้วยทั้งคุณภาพเนื้องาน การแสดง กระแส และเรตติ้งแล้ว ทุกอย่างครบครันอยู่ในละครเรื่องนี้ทั้งหมด และ บุพเพสันนิวาส จากบ้านพระรามสี่นี่แหละคือเจ้าของละครเรตติ้งสูงสุดของปี 2561 ด้วยเรตติ้งตอนจบ 18.6 นับว่าสูงที่สุดตั้งแต่วงการโทรทัศน์เราเปลี่ยนเข้าสู่ยุคดิจิทัลแบบเต็มตัว ทั้งยังส่งให้ชื่อของ เบลล่า-ราณี แคมเปน และ โป๊ป-ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ กลายเป็นพระ-นางคู่ขวัญคู่ใหม่ไปโดยปริยาย
ความน่าสนใจของละครเรื่องนี้คือ การดีไซน์สถานการณ์ของเรื่องให้กลายเป็นที่พูดถึงได้เกือบจะทุกตอน ซึ่งช่วงแรกๆ ของละครในซีนที่ ‘เกศสุรางค์’ ในร่าง ‘แม่หญิงการะเกด’ คว่ำปากแบบ กิ๊ก สุวัจนี แค่เพียงไม่กี่นาทีหลังละครจบ ฉากดังกล่าวก็กลายเป็นมีมให้คนพูดถึงกันทั่วโลกโซเชียล นี่เรายังไม่ได้พูดถึงมะม่วงน้ำปลาหวาน หมูกระทะ หรือกุ้งเผาน้ำจิ้มรสแซ่บที่กลายเป็นอาหารที่คนต่างพากันพูดถึงกันทั่วประเทศ
เราต้องยอมรับว่า เบลล่า-ราณี แคมเปน โดดเด่นอย่างมากกับบทแม่หญิงการะเกดนี้ และเธอรับมือได้ทั้งการแสดงในช่วงที่เป็นบทร้าย ก็เล่นร้ายออกนอกหน้าอย่างน่าหมั่นไส้ หรือจะเล่นในซีนคอเมดี้ เธอก็ทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ และบทนี้จะส่งให้เธอได้เข้าชิงรางวัลทางการแสดงในช่วงปีหน้าอย่างแน่นอน นอกเหนือจากเบลล่าเอง ยังมีนักแสดงอีกคนที่เราอยากประเคนรางวัลให้ นั่นคือ ‘พี่ผิน’ (รับบทโดย หยา-จรรยา ธนาสว่างกุล) ที่สวมบทบาทบ่าวผู้จงรักภักดีได้อย่างหมดจด และเธอควรได้เข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง
พลังเมียแรงกล้า
นับเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมากๆ กับการที่ละครหลายๆ เรื่องในปีนี้มีผู้หญิงเป็นตัวละครหลัก และต้องใช้พลังงานในการแสดงที่แทบจะแบกละครไว้ทั้งเรื่องอยู่มากเหลือเกิน นอกจากนี้ยังแทรกแง่มุมเรื่องความเท่าเทียมกันทางเพศไว้อย่างน่าสนใจ ถึงแม้การเรียกร้องสิทธิสตรีจะไม่เสียงดังมากมาย แต่ก็สร้างแรงกระเพื่อมบางอย่างให้กับผู้ชมให้หวนกลับมาสำรวจพฤติกรรมของตัวเองได้อย่างน่าสนใจ เรากำลังพูดถึงละครชื่อแปร่งหูอย่าง เมีย 2018 ทางช่อง One 31 ที่แรกเริ่มเดิมทีที่เราได้ยินชื่อก็แทบไม่สนใจอยากจะดูเท่าไร แต่กลับสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับช่อง One 31 ด้วยการคว้าตำแหน่งละครที่มีเรตติ้งสูงสุดของช่องตลอดกาลไปอย่างหน้าตาเฉยที่ตัวเลขของผู้ชมในกรุงเทพฯ ทะยานไปสูงถึง 7.9!
ความน่าสนใจของ เมีย 2018 คือการดัดแปลงบทโทรทัศน์มาจากละครเรื่อง The Fierce Wife ซึ่งซื้อลิขสิทธิ์มาจากไต้หวัน โดยเป็นผลงานการเขียนบทของ เจี๊ยบ-วรรธนา วีรยวรรธน ศิลปินมากความสามารถ และตัวบทของละครได้มีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยอย่างมากเหลือเกิน ทั้งเรื่องของการใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือของตัวละคร หรือประเด็นหลักอย่างการแย่งผัวพี่สาวของตัวละครที่คนเกลียดไปทั่วประเทศอย่าง ‘กันยา’ (รับบทโดย มารี เบิร์นเนอร์) ก็ดูจริงเสียจนขนลุก ทั้งนี้ละครยังมอบฉากที่น่าจดจำที่สุดฉากหนึ่งของวงการละครไทยอย่างฉากที่ ‘ธาดา’ (รับบทโดย ป้อง-ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์) และ ‘อรุณา’ (รับบทโดย บี-น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์) นั่งคุยกันอย่างเรียบง่ายบนพื้นบ้าน ต่างรำลึกและพูดคุยกันแบบ ‘มนุษย์คุยกัน’ เรายกให้จังหวะการแสดงของทั้งคู่ในฉากนี้เป็นที่สุดแห่งปี
แน่นอนว่าการปรากฏตัวของ มารี เบิร์นเนอร์ ในละครเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เราไม่พูดถึงไม่ได้ จากนักแสดงแถวสองแถวสาม เธอก้าวกระโดดมาเป็นนักแสดงนำที่แข็งแรงได้อย่างเหลือเชื่อ และนั่นยิ่งทำให้เราได้เห็นศักยภาพทางการแสดงและพลังงานของเธอที่เปี่ยมล้นในทุกๆ ฉาก และถึงแม้พัฒนาการของตัวละครเองจะมีชั้นเชิงเดิมๆ เหมือนตัวละครเมียน้อยในละครไทยทั่วไป กลับกันเธอพ่วงการแสดงที่บวกอาการทางจิตของตัวละครไว้อย่างแนบเนียน และท้ายที่สุดเราก็พร้อมเห็นใจในความไร้เหตุผลของเธอ และยกให้ตัวละคร ‘กันยา’ เป็นหนึ่งในตัวละครแห่งปีเทียบเท่ากับ ‘ใจเริง’ ใน เพลิงบุญ เมื่อปีที่แล้ว
บทประพันธ์เก่าเล่าใหม่
ในปีนี้มีละครจากนวนิยายเก่าๆ ที่หยิบยกขึ้นมาทำเป็นละครอยู่จำนวนมาก ไล่เลียงเฉพาะแค่ช่อง GMM 25 ก็พบบทประพันธ์ของ ว.วินิจฉัยกุล ถึง 2 เรื่อง ทั้ง ไร้เสน่หา และ ปาก ซึ่งล้วนต่างมีความน่าสนใจในแง่ของการนำเสนอที่ร่วมสมัย ถึงแม้จะนำบทประพันธ์มาดัดแปลงจนต่างไปจากเรื่องเดิมจนน่าหงุดหงิด แต่ทั้งสองเรื่องก็ยังมีอะไรให้น่าจดจำ โดยเฉพาะการแสดงของสองสาวนักแสดงนำจากทั้งสองเรื่อง ทั้ง ป๊อก-ปิยธิดา มิตรธีรโรจน์ ในบท ‘นงราม’ จาก ไร้เสน่หา และ สายป่าน-อภิญญา สกุลเจริญสุข ในบท ‘รอย’ ที่เรียกว่าแทบจะแบกละครทั้งเรื่องไว้ด้วยพลังทางการแสดงล้วนๆ
นอกจากนี้ยังมีนิยายของ กฤษณา อโศกสิน เจ้าของบทประพันธ์หลายเรื่องที่ตีแผ่มนุษย์ได้อย่างเผ็ดร้อนขึ้นจออยู่หลายเรื่อง อย่างในปีที่แล้วที่มีเรื่อง เพลิงบุญ แต่ในปีนี้มีทั้ง ข้ามสีทันดร (ช่อง 3), ระบำมาร (ช่อง 7) และ รูปทอง (ช่อง GMM 25) ซึ่งล้วนแต่ได้รับผลตอบรับในระดับปานกลาง หรือผู้คนอาจจะเริ่มเบื่อหน่ายกับการหยิบบทประพันธ์ชั้นครูมาดัดแปลงเป็นละครแล้วหรือไม่
รสชาติใหม่ของการสืบสวนสอบสวน
“ใครฆ่าประเสริฐ” คือคำถามชวนหัวที่คนทั้งโลกโซเชียลสะพรึงกันอยู่พักใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในละครฟอร์มยักษ์จากบ้านนาดาวบางกอก ที่ขนนักแสดงรุ่นใหญ่ระดับพระกาฬมารวมกันไว้คับจอในเรื่อง เลือดข้นคนจาง ผลงานการกำกับของ ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์ และเราต้องยอมรับว่าละครเรื่องนี้นับเป็นมิติใหม่ของละครไทยอย่างแท้จริง ทั้งในเรื่องการเล่าเรื่อง โปรดักชันที่สวยงาม และการจับต้องประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ของครอบครัวอย่างเข้มข้น
แน่นอนว่าการที่เราได้เห็นนักแสดงอย่าง แหม่ม-คัทลียา แมคอินทอช ในบท ภัสสร หวนคืนฟอร์มด้วยการแสดงที่ละเอียดอ่อนและทรงพลังที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติการทำงานของเธอ แค่นี้เราก็รู้สึกคุ้มแสนคุ้มแล้ว ยังไม่นับพลังสายตาและเทคนิคการแสดงที่ยอดเยี่ยมยกทีม ทั้ง กบ-ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี, แท่ง-ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง, อุ๋ม-อาภาศิริ นิติพน และ ครูเล็ก-ภัทราวดี มีชูธน ที่เหมือนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทั้งหมดในวงการมาปล่อยของในละครเรื่องนี้
นอกจากนี้ที่ไม่พูดถึงเลยไม่ได้ก็คือ หนุ่มๆ หน้าใหม่จากแก๊ง 9×9 (ไนน์ บาย นาย) เราต้องขอยกให้สองคนที่โดดเด่นทะลุทะลวงจอออกมามาก ทั้ง ไอซ์-พาริส อินทรโกมาลย์สุต ในบท ฉี และ แจ๊คกี้-จักริน กังวานเกียรติชัย ในบท เต้ย ที่ต่างมีเสน่ห์ทางการแสดงที่โดดเด่น โดยเฉพาะรายหลังที่ต้องรับบทหนักที่สุด และนอกเหนือจากหน้าตาน่าเอ็นดูแล้ว แจ๊คกี้เองก็ทำให้เราดำดิ่งไปกับความรู้สึกของตัวละครได้อย่างเหลือเชื่อ คุณลองย้อนไปชมฉากที่เต้ยออกมาจากคุกและยกมือไหว้ขอโทษป๊าม๊าสิ ถ้ากลั้นน้ำตาได้ก็ลองดู!
แต่สิ่งหนึ่งที่ เลือดข้นคนจาง ไม่สามารถรั้งคนดูให้อยู่กับเรื่องราวได้ตลอดรอดฝั่ง เป็นเพราะการเล่าเรื่องที่เข้มข้นแต่เนิบช้า ด้วยการพาไปสำรวจวิธีคิดและความสัมพันธ์ของตัวละครอย่างลึกซึ้งซึ่งอาจไม่ถูกกับจริตของคนไทยเท่าไร แต่ด้วยกระแสและเรตติ้ง นับว่านี่เป็นมิติใหม่ของละครไทยที่น่าพอใจอย่างมาก และเราขอยกให้ เลือดข้นคนจาง เป็นมาสเตอร์พีซชิ้นหนึ่งของวงการละครไทยตลอดกาล
นอกจากนี้ยังมีละครอีกเรื่องจากช่องเดียวกันอย่าง กาหลมหรทึก ที่ดัดแปลงจากนิยายชื่อเดียวกันของ ปราบต์ ก็ยกระดับละครไทยขึ้นไปอีกขั้นด้วยโปรดักชัน วิธีการเล่าเรื่อง และการดำเนินเรื่อง ทั้งยังมีซีนเล่าแฟลชแบ็กแบบลองเทคที่น่าสนใจในการใช้ไฟเข้ามาตัวช่วยในการเล่าเรื่อง นับเป็นความกล้าของช่อง One 31 ที่หยิบยกนิยายพีเรียดสืบสวนคดีฆาตกรรมขึ้นมาทำเป็นละคร
สองนักแสดงที่ควรค่าแก่การจดจำในเรื่องนี้คือ สองนักแสดงหลักอย่าง วิว-วรรณรท สนธิไชย ในบท พะนอนิจ ที่เรียกว่าเป็นผลงานทางการแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติการทำงานของเธอ อยากรู้ว่ายอดเยี่ยมอย่างไรคุณลองไปหาดู เพราะเราสปอยล์อะไรไม่ได้จริงๆ! ส่วนอีกคนที่นานๆ จะโผล่มาให้เราเห็นในละครอย่าง โอ-อนุชิต สพันธุ์พงษ์ ในบท นายกล้า เอง ก็มีเลือดเนื้อและเสน่ห์ทางการแสดงอย่างมาก พร้อมกันนั้นอนุชิตเองก็ลงทุนโกนหัวจริงๆ เพื่อรับบทนี้ นับเป็นความทุ่มเทที่หาได้ยากในนักแสดงไทยที่พร้อมสลัดคราบตัวเองและสวมบทบาทนั้นๆ อย่างหมดจด
ศึกละครเย็นยังดุเดือด
ถ้าให้พูดว่าละครไพรม์ไทม์หลังข่าวคืออาหารหลักที่ขาดไม่ได้ สิ่งที่ขาดไม่ได้ยิ่งกว่าคือออร์เดิร์ฟอย่างละครเย็นก่อนข่าวที่สู้กันดุเดือดทุกช่อง โดยเฉพาะตัวเลขเรตติ้งของละครช่อง 8 เองก็เริ่มตีตื้นทำคะแนนในช่วงเย็นได้อย่างน่าสนใจ และการมาถึงของ สาปกระสือ ละครที่เป็นการขึ้นจอครั้งแรกของอดีตมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์สวยคมอย่าง น้ำตาล-ชลิตา ส่วนเสน่ห์ ก็ทำเรตติ้งไปอย่างน่าพอใจ และคว้าเรตติ้งสูงสุดแห่งปีของช่อง 8 ไปได้อย่างพลิกล็อก
ส่วนทางช่อง One 31 เองก็เขยิบเวลาที่เคยเป็นซิตคอมให้กับละครเย็นล็อตแรกอย่าง สุภาพบุรุษมงกุฎเพชร ซึ่งมีผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ และแน่นอนว่าช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ ยังคงครองแชมป์เจ้าละครเย็นไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ดูจากตัวเลขเรตติ้งที่สูงทะยานแตะหลัก 7-8 ได้เสมอ ก็พอจะเห็นภาพความแข็งแกร่งของละครเย็นช่อง 7 ได้ แถมในปีนี้เองก็มีละครเย็นหลายๆ เรื่องที่มีความน่าสนใจอย่าง ชะชะช่า ท้ารัก ละครเพลงรีเมกที่ดูสนุกและเอาใจชาวบ้านได้ทุกหัวเมือง พร้อมส่งให้นักแสดงนำอย่าง โหน-ธนากร ศรีบรรจง ฉายเสน่ห์แพรวพราวแบบฉบับหนุ่มไทยหน้าคมได้อย่างน่าสนใจ
ซีรีส์วัยรุ่นแข็งแรงขึ้น
หนึ่งจุดแข็งของฟากบ้าน GMMTV คือการผลิตละครซีรีส์สำหรับวัยรุ่น และปีนี้ก็มีผลงานที่น่าพอใจออกมามากมาย ถ้านับว่าโดดเด่นมากๆ ก็คือ ซีรีส์จากสตูดิโอแทรชเชอร์ บางกอก เรื่อง Friend Zone เอา ให้ ชัด ผลงานการกำกับของ โจโจ้-ทิชากร ภูเขาทอง โดยหากใครเป็นแฟนซีรีส์ของเขามาก่อนจะพบว่า นี่เป็นวิธีการเล่าเรื่อง การสร้างคาแรกเตอร์และสถานการณ์ที่เราคุ้นเคยมาก่อนแล้วจากซีรีส์ GAY OK BANGKOK ที่เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์แบบตรงไปตรงมาและดู ‘จริง’ จนน่าขนลุก
ทั้งนี้พอปรับเปลี่ยนมาเล่าเรื่องแบบคู่รักชาย-หญิงเอง ทิชากรก็ไม่ทำให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจ รวมไปถึงพลังทางการแสดงที่สาดกันไปมาทั้งเรื่องก็ทำให้อินได้ไม่ยาก และต้องขอปรบมือให้ น้ำตาล-ทิพนารี วีรวัฒโนดม ในบท ‘บูม’ ผู้หญิงปากกัดตีนถีบที่ทั้งแข็งแรงและเปราะบางอยู่ในที สำหรับเราเธอโดดเด่นมากทั้งการใช้สายตาและน้ำเสียง และจังหวะการพูดที่ดูธรรมชาติ เธอจึงมีหลายๆ ซีนที่เซอร์ไพรส์ผู้ชมได้อยู่เสมอๆ
นอกจากนี้ซีรีส์อย่าง The Gifted นักเรียนพลังกิฟต์ ก็เป็นที่พูดถึงในวงกว้าง ด้วยเรื่องราวที่แปลกใหม่คล้ายๆ จะเป็นโรงเรียน X-Men เทือกนั้น และตัวซีรีส์เองก็ทำออกได้ถึงเครื่อง นับเป็นอีกความน่าสนใจหนึ่งที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ซึ่งเราต้องยอมรับว่า GMMTV ยังคงเป็นค่ายที่ทำละครเสิร์ฟกลุ่มเป้าหมายของเขาได้อย่างชัดเจนและเริ่มมีความแข็งแรงในเรื่องราวที่หลากหลาย ไม่ใช่เพียงแค่ซีรีส์ที่ดัดแปลงมาจากนิยายลูกกวาดเหมือนแต่ก่อนแล้ว
ปีหน้าฟ้าใหม่ ละครไทยจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหน และจะมีเรื่องไหนสั่นสะเทือนวงการได้อีก กดรีโมตช่องที่คุณชอบรอไว้เลย!
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า