วันนี้ (21 เมษายน) ที่อาสนวิหารอัสสัมชัญ บางรัก กรุงเทพฯ ในพิธีบูชาขอบพระคุณแด่ดวงพระวิญญาณ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส พระประมุขแห่งศาสนจักรคาทอลิก ภายหลังสิ้นพระชนม์ด้วยพระชนมายุ 88 พรรษา โดยมีคริสต์ศาสนิกชน และนักบวช ทั้งชาวไทยและต่างประเทศเข้าร่วมพิธีอย่างหนาแน่น
อาร์ชบิชอป ฟรังซิสเซเวียร์ วีระ อาภรณ์รัตน์ ประธานสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย ได้ประกอบพิธี และได้กล่าวในช่วงหนึ่งว่า ชีวิตของพระเยซูเจ้าในวันฉลองปัสกา ทำให้เห็นว่าพระองค์ทรงชนะความตาย ปีศาจ และบาป
“อดคิดไม่ได้ว่า ตามปกติแล้วคนเรา เลือกวันเกิดก็ไม่ได้ เลือกวันตายก็ไม่ได้ แต่มีบุคคลบางคนที่จากเราไป ในวันที่มีความหมาย เช่น สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส วันแรกภายหลังจากวันฉลองสมโภชปัสกา ที่อาจมีความสำคัญมากกว่าคริสต์มาสเสียอีก”
นอกจากนี้ ยังได้หยิบยกสาส์นอวยพรที่สมเด็จพระสันตะปาปาเคยมอบไว้ ระบุว่า
“แม่น้ำไม่ดื่มน้ำของตนเอง ต้นไม้ไม่กินผลของตน ดวงตะวันไม่ฉายแสงให้ตนเอง และดอกไม้ไม่ให้กลิ่นหอมแก่ตนเอง การมีชีวิตเพื่อผู้อื่นเป็นกฎธรรมชาติ เราเกิดมาเพื่อช่วยกันและกัน ไม่ว่าจะยากเพียงใด
“ชีวิตดีเมื่อท่านมีความสุข ที่ดีกว่านั้นคือ การที่ผู้อื่นมีความสุขเพราะท่าน ขอให้เราทั้งหลายระลึกเสมอว่า ใบไม้เปลี่ยนสีมีความงาม ทุกสถานการณ์ชีวิตที่เปลี่ยนมีความหมาย พึงเห็นได้ชัด อย่ารำพันพร่ำบ่น
“จงจำไว้ว่าความเจ็บปวดเป็นสัญญาณของการมีชีวิต ปัญหาเป็นสัญญาณของความเข้มแข็ง และการภาวนาเป็นสัญญาณว่าเราไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว ถ้าเรารู้จักความจริงและเงื่อนไขเหล่านี้ จิตใจของเรา ชีวิตของเรา จะมีความหมายมากขึ้น จะแตกต่างอย่างมีคุณค่า”
ในช่วงท้ายพิธี อาร์ชบิชอป ปีเตอร์ ไบรอัน เวลส์ เอกอัครสมณทูตนครรัฐวาติกันประจำประเทศไทย กล่าวสดุดีแต่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสว่า พระองค์เป็นที่พึ่งของผู้ยากไร้ และผู้ที่ถูกกีดกันแบ่งแยก ขอให้พวกเรามอบพระเกียรติแด่พระสันตะปาปา โดยการใช้ชีวิตอย่างมีความเมตตาต่อกันและกัน เป็นเสียงให้แก่ผู้ที่ไร้เสียง และดำรงชีวิตความหวัง ขอให้ดวงพระวิญญาณพบกับความสงบ
ทั้งนี้ ในพิธียังได้ใช้จอกกาลิกส์ ที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงมอบให้กับพระศาสนจักรไทย เมื่อครั้งเสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในปี 2019 เพื่อเป็นการระลึกถึงพระองค์เป็นพิเศษ