ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (30 สิงหาคม) ที่ระดับ 32.53 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 32.64 บาทต่อดอลลาร์
พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงหนัก ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นของตลาด หลัง เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ไม่ได้ให้รายละเอียดการลด QE มากเท่าที่ตลาดคาดหวังในงานประชุม Jackson Hole
สำหรับสัปดาห์นี้ จับตาแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านการรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls)
โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
ฝั่งสหรัฐฯ แนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดแรงงานจะเป็นข้อมูลเศรษฐกิจที่ตลาดจะติดตามใกล้ชิด หลังประธาน Fed ได้ส่งสัญญาณว่า Fed อาจทยอยลด QE ได้ในปีนี้ หากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ตามเป้าหมายของ Fed ซึ่งหนึ่งในเป้าหมายสำคัญคือการจ้างงาน
โดยตลาดมองว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนสิงหาคมจะเพิ่มขึ้น 7.5 แสนราย ทำให้อัตราการว่างงานลดลงเหลือ 5.2% ซึ่งหากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง และภาพรวมเศรษฐกิจไม่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเดลตามากนัก เรามองว่า Fed อาจส่งสัญญาณการลด QE ที่ชัดเจนได้ในการประชุมเดือนกันยายน จากนั้น Fed อาจประกาศลด QE ได้ในการประชุมเดือนพฤศจิกายน และเริ่มลด QE ในเดือนธันวาคม
อนึ่ง ปัญหาการระบาดระลอกใหม่ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามว่าจะกดดันเศรษฐกิจอย่างไร ทั้งนี้ ตลาดประเมินว่าผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่อาจกดดันให้ทั้งภาคการผลิตและการบริการขยายตัวในอัตราชะลอลง เห็นได้จากดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการ โดยสถาบัน ISM ในเดือนสิงหาคม ที่จะปรับตัวลดลงสู่ระดับ 59 จุด และ 62 จุดตามลำดับ (ดัชนีเกิน 50 จุดหมายถึงขยายตัว)
ขณะเดียวกัน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย Conference Board (Consumer Confidence) เดือนสิงหาคมก็มีแนวโน้มลดลงเหลือ 123 จุด ซึ่งตลาดมองว่าการบริโภคในสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลงในระยะสั้น จากความกังวลปัญหาการระบาดระลอกใหม่
ฝั่งยุโรป ตลาดประเมินว่าการฟื้นตัวเศรษฐกิจยุโรปอย่างต่อเนื่องหลังการทยอยผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์นั้นจะช่วยหนุนให้การจ้างงานฟื้นตัวดีขึ้น สะท้อนผ่านอัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) เดือนกรกฎาคม ที่จะลดลงสู่ระดับ 7.6% (ช่วงก่อนโควิดอยู่ที่ 7.4%)
ฝั่งเอเชีย ตลาดมองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเกาหลีใต้จะถูกหนุนด้วยการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งของภาคการส่งออก จากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก โดยยอดการส่งออกในเดือนสิงหาคมอาจโตถึง +34%YoY ทั้งนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเกาหลีใต้จะช่วยเพิ่มโอกาสธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) ทยอยเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต
อย่างไรก็ดี ในฝั่งจีน ทั้งภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราชะลอลงต่อเนื่อง หลังจีนเผชิญทั้งปัญหาการระบาดของโควิดที่กดดันให้รัฐบาลจีนใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวด รวมถึงปัญหาน้ำท่วมใหญ่ สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตในเดือนสิงหาคมที่ลดลงสู่ระดับ 50.1 จุด ส่วนดัชนี PMI ภาคการบริการก็จะปรับตัวลงสู่ระดับ 52 จุด (ดัชนีสูงกว่า 50 หมายถึง ภาวะขยายตัว) เช่นเดียวกันกับฝั่งญี่ปุ่น ปัญหาการระบาดระลอกใหม่จะกดดันให้ การบริโภคครัวเรือนชะลอลง โดยยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกรกฎาคม จะโตเพียง +0.4%m/m จากที่เคยโตได้ถึง +3.1%m/m ในเดือนมิถุนายน
สำหรับไทย ตลาดจะจับตาแนวโน้มการระบาดของโควิด หลังจากรัฐบาลเริ่มทยอยผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในเดือนกันยายน ซึ่งเรามองว่าการผ่อนคลายล็อกดาวน์อาจเริ่มเร็วเกินไป เนื่องจากยอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตยังอยู่ในระดับสูง อีกทั้งการตรวจผู้ติดเชื้อยังทำได้ไม่ครอบคลุมพอ ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดการระบาดระลอกใหม่อีกครั้งในอีก 3-4 สัปดาห์ข้างหน้า ทั้งนี้ สถานการณ์การระบาดจะดีขึ้นหรือแย่ลงอาจขึ้นกับการแจกจ่ายวัคซีนว่าจะสามารถเร่งตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่ โดยล่าสุดอัตราการแจกจ่ายวัคซีนได้เร่งตัวขึ้นสู่ระดับวันละ 5.5 แสนโดส ซึ่งจากอัตราดังกล่าวอาจทำให้ 70% ของประชากรได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม ภายใน 5 เดือน
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท ประเมินว่าในสัปดาห์นี้ ความหวังการฟื้นตัวเศรษฐกิจจากการทยอยผ่อนคลายล็อกดาวน์จะหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ตามแรงซื้อสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ ประกอบกับภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด (Risk-on) อาจกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อได้บ้าง โดยเรามองว่าดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) อาจย่อตัวลง และเริ่มแกว่งตัว Sideways ได้ ทั้งนี้ หากยอดจ้างงานเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด เช่น 8-9 แสนราย จะย้ำภาพ Fed เตรียมลด QE ซึ่งจะช่วยพยุงโมเมนตัมเงินดอลลาร์ได้บ้าง
อย่างไรก็ดี การแข็งค่าอย่างรวดเร็วของเงินบาท อาจทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาช่วยดูแลความผันผวนของค่าเงิน ซึ่งอาจพอช่วยให้เงินบาทแกว่งตัว Sideways ใกล้โซน 32.30-32.40 บาทต่อดอลลาร์ได้ ซึ่งเป็นโซนแนวรับหลัก และเป็นระดับที่ยังคงมีผู้นำเข้าบางส่วนรอทยอยแลกซื้อเงินดอลลาร์อยู่
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ที่ระดับ 32.30-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.40-32.60 บาทต่อดอลลาร์
เตรียมพบกับฟอรัมที่ผู้บริหาร ‘ต้องดู’ ก่อนวางแผนกลยุทธ์ปีหน้า! The Secret Sauce Strategy Forum คัมภีร์กลยุทธ์ฝ่าวิกฤตปี 2022
📌 เฟรมเวิร์กกลยุทธ์ใช้ได้จริง
📌 ฉากทัศน์เศรษฐกิจไทย–โลก
📌 เทรนด์ผู้บริโภค–การตลาด
📌 เคสจริงจากผู้บริหาร
ซื้อบัตรได้แล้วที่ www.zipeventapp.com/e/the-secret-sauce
#TheSecretSauceStrategyForum2022