ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (20 มีนาคม) ที่ระดับ 34.05 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 34.22 บาทต่อดอลลาร์ หลังราคาทองคำพุ่ง แรงขายสุทธิหุ้นไทยเริ่มชะลอตัวลง และดัชนี SET เริ่มส่งสัญญาณอาจกลับตัวหรือรีบาวด์ขึ้นได้ในระยะสั้น
ธนาคารกรุงไทยประเมินว่า ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแกว่งตัว Sideway ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุม FOMC โดยมีโอกาสแข็งค่าทดสอบโซนแนวรับแรกแถว 34.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ หากราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง (จับตาแนวต้านสำคัญของราคาทองคำแถว 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์) แต่ต้องจับตาฟันด์โฟลวนักลงทุนต่างชาติ ว่าจะเริ่มกลับมาซื้อสุทธิสินทรัพย์ไทยหรือไม่ หลังแรงขายสุทธิหุ้นไทยเริ่มชะลอตัวลง และดัชนี SET เริ่มส่งสัญญาณอาจกลับตัวหรือรีบาวด์ขึ้นได้ในระยะสั้น ส่วน Valuation ของหุ้นไทยก็ถือว่า ถูกลงจากช่วงก่อนหน้าพอสมควร (Forward P/E ล่าสุด 15.1 เท่า)
ในส่วนเงินดอลลาร์ มองว่ามีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้ (หลังจากปรับตัวอ่อนค่าลงเกือบ -1% ในสัปดาห์ก่อน) หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ไม่ได้กังวลต่อปัญหาสภาพคล่องของระบบธนาคารมากนัก และคาดการณ์ดอกเบี้ย Fed (Dot Plot) ใหม่สะท้อนว่า Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับ 5.50% อนึ่ง หากในช่วงก่อนการประชุม FOMC ตลาดยังอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง จากความกังวลปัญหาเสถียรภาพของธนาคารสหรัฐฯ และยุโรป ผู้เล่นในตลาดอาจยังคงเลือกที่จะถือ ทองคำหรือเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมากกว่าเงินดอลลาร์
โดยมองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ที่ระดับ 33.80-34.50 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.95-34.15 บาทต่อดอลลาร์
พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินปั่นป่วนท่ามกลางความกังวลปัญหาเสถียรภาพของธนาคารสหรัฐฯ และยุโรป
ในสัปดาห์นี้มองว่า ตลาดการเงินมีแนวโน้มผันผวนสูงท่ามกลางความกังวลความเสี่ยงต่อระบบธนาคารสหรัฐฯ และยุโรป รวมถึงความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน Fed (FOMC)
โดยไฮไลต์สำคัญทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้มีดังนี้
- ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลต์สำคัญ คือผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของ Fed (FOMC) โดยมองว่า FOMC อาจตัดสินใจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย +0.25% สู่ระดับ 4.75-5.00% เพื่อย้ำจุดยืนในการแก้ไขปัญหาอัตราเงินเฟ้อ (ล่าสุดอัตราเงินเฟ้อ CPI ยังคงสูงกว่า 6%) ขณะที่ปัญหาสภาพคล่องในระบบธนาคารสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้สภาวะทางการเงิน (Financial Condition) ของสหรัฐฯ ตึงตัวมากขึ้น ทำให้ความจำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย +0.50% ลดลง
อย่างไรก็ดี ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามองเพิ่มเติม คือประมาณการเศรษฐกิจใหม่ของ Fed รวมถึงคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) ใหม่ โดยประเมินว่า Fed อาจไม่ได้ขยับประมาณการเศรษฐกิจมากนัก แต่มีความเป็นไปได้ว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ Fed ส่วนใหญ่อาจมองว่า Fed ควรขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจนแตะระดับ 5.50% ในปีนี้ ซึ่งจะสูงขึ้นจากที่เคยมองไว้ที่ระดับ 5.25% ในการประชุมเดือนธันวาคม เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในฝั่งภาคการบริการ มีแนวโน้มชะลอตัวลงช้า ส่วนปัญหาด้านสภาพคล่องของระบบธนาคารสหรัฐฯ ก็ไม่ได้น่ากังวลมากนัก เพราะทางการสหรัฐฯ และ Fed ได้ออกมาตรการรับมือไว้แล้ว
นอกเหนือจากผลการประชุม Fed ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ โดย S&P Global (Manufacturing & Services PMIs) ซึ่งตลาดคาดว่าในเดือนมีนาคมนั้น ภาคการผลิตอาจยังคงหดตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนี PMI ภาคการผลิตที่ระดับ 47.6 จุด (ดัชนีน้อยกว่า 50 จุด หมายถึงภาวะหดตัว) โดยส่วนหนึ่งมาจากตามความต้องการสินค้าที่ลดลง ทว่าภาคการบริการจะยังคงขยายตัวได้ดี ชี้จากดัชนี PMI ภาคการบริการที่ระดับกว่า 50.8 จุด หนุนโดยตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่งอยู่
- ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นว่าธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะตัดสินใจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย +0.25% ตามคาด หรือ +0.50% ตามการประชุมครั้งก่อนๆ (จากระดับปัจจุบันที่ 4.00%) ท่ามกลางความกังวลต่อเสถียรภาพของระบบธนาคารฝั่งยุโรปและแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษที่ชะลอลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ CPI อังกฤษ เดือนกุมภาพันธ์ แม้จะชะลอลงต่อเนื่อง แต่ก็อยู่ที่ระดับสูงถึง 9.8%
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ โดยตลาดมองว่าภาพรวมเศรษฐกิจยุโรปจะเดินหน้าฟื้นตัวต่อเนื่องในเดือนมีนาคม สะท้อนผ่านดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและภาคการบริการ (Composite PMI) ที่ระดับ 52 จุด สำหรับยูโรโซน และระดับ 52.7 จุด สำหรับอังกฤษ ซึ่งส่วนหนึ่งหนุนโดยการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการบริการ หลังวิกฤตพลังงานในฝั่งยุโรปไม่ได้น่ากังวลมากนัก
- ฝั่งเอเชีย – ตลาดคาดว่าการชะลอตัวต่อเนื่องของอัตราเงินเฟ้อและภาพรวมเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จะส่งผลให้ธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.75% ขณะที่ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) อาจจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับ 6.25% หลังอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงถึง 8.6%
นอกจากผลการประชุมของธนาคารกลางดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่นในเดือนกุมภาพันธ์ โดยหากอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงกว่า 4% กอปรกับภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องโดยเฉพาะภาคการบริการ ซึ่งอาจสะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการบริการเดือนมีนาคมที่อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 55-56 จุด ก็จะเพิ่มโอกาสให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น
- ฝั่งไทย – ตลาดประเมินว่า ยอดการส่งออก (Export) เดือนกุมภาพันธ์ จะยังคงหดตัว -7%YoY สอดคล้องกับภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ยอดการนำเข้า (Import) จะขยายตัว +2%YoY ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความต้องการบริโภคในประเทศที่ขยายตัวได้ดี ทำให้ดุลการค้าอาจขาดดุลเกือบ -2 พันล้านดอลลาร์ได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ‘เงินบาทแข็งค่า’ ทำจุดสูงสุดใหม่รอบ 10 เดือน เก็ง Fed ยุติขึ้นดอกเบี้ย ฉุดดอลลาร์อ่อน กรุงศรีมองกรอบเงินบาทปีนี้ 32-33 บาท
- ‘เงินบาท’ แข็งค่าสุดในรอบกว่า 10 เดือน คาด Fed ลดความแข็งกร้าวขึ้นดอกเบี้ย หลังเงินเฟ้อสหรัฐฯ ลดลงครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี
- ว่าด้วย ค่าเงินบาท เดือนมกราคม ปีกระต่าย