ส.อ.ท. สรุปภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ปี 2567 เผยสัดส่วนลดลงทุกเซ็กเตอร์ ขณะที่รถยนต์ไฮบริดมาแรง แม้ปี 2568 ยังมองบวก ตั้งเป้าผลิตรถยนต์ที่ 1,500,000 คัน เพิ่มขึ้น 2.11%
โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจยังขยายตัว มีการเร่งผลิต EV3.5 ชดเชยนำเข้า ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง นโยบายทรัมป์ 2.0 ห่วงคลื่น EV จีนทะลักเข้ามาทุ่มตลาด จับตาแรงงานกว่าแสนคนในอุตสาหกรรมยานยนต์เสี่ยงย้ายไปทำงานในอุตสาหกรรมอื่น
สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ปี 2568 ตั้งเป้ายอดผลิตรถยนต์อยู่ที่ประมาณ 1,500,000 คัน มากกว่าปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 1,468,997 คัน เพิ่มขึ้น 2.11% เป้ายอดผลิตรถจักรยานยนต์ 2,100,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.28 แบ่งเป็นการผลิตเพื่อการส่งออกประมาณ 1,000,000 คัน 66.66% ของยอดการผลิตทั้งหมดลดลงจากปีที่แล้วที่ผลิตได้ 1,009,141 คัน และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศประมาณ 500,000 คัน เท่ากับ 33.34% ของยอดการผลิตทั้งหมด
ทั้งนี้ ยอดการผลิตรถยนต์ที่ยังเป็นตัวเลขเกิน 1,000,000 คัน ถือว่ายังไม่วิกฤตสำหรับกลุ่มยานยนต์มากนัก แต่ว่ายังต้องจับตามองหลายๆ ปัจจัย
สรุปทั้งปี 2567 ยอดขาย-ยอดผลิตลดลงทุกเซ็กเตอร์
ส่วนยอดขายรถยนต์ภายในประเทศเมื่อเดือนธันวาคม 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 54,016 คัน ลดลง 20.94% ส่งผลให้ภาพรวมสรุปทั้งปี 2567 สามารถส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 1,019,213 คัน ลดลง 8.80%YoY ส่วนมูลค่าการส่งออกรถยนต์ทั้งปี 2567 อยู่ที่ 699,162.47 ล้านบาท ลดลง 2.89%YoY ยอดขาย 572,675 คัน ลดลง 26.18%YoY และจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในปี 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,468,997 คัน ลดลง 19.95%YoY
“ยอมรับว่าปีที่ผ่านมายอดผลิตพลาดเป้า และเป็นปีที่ยอดขายสาหัส” สุรพงษ์กล่าว
ไฮบริดมาแรงแซง EV
ส่วนสถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดยังคงมาแรง โดยขณะนี้ค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นหันมาผลิตรถยนต์ไฮบริดมากขึ้นเพื่อแข่งกับรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ส่งผลให้รถยนต์ไฮบริดราคาลดลงกว่า 50% เช่น จากราคา 1,400,000-1,500,000 บาทต่อคัน ลดลงเหลือ 700,000-800,000 บาทต่อคัน จึงจะเห็นว่ายอดขายรถยนต์ไฮบริดเพิ่มขึ้นเพื่อทำราคาแข่งกับรถยนต์ไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 คาดว่ายอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าอาจเพิ่มขึ้นจากปี 2567 เพียงเล็กน้อย โดยต้องดูปัจจัยการปล่อยกู้จากธนาคาร และการลดราคาของรถไฟฟ้าจากจีนที่จะเข้ามาแข่งขันในตลาดมากขึ้น
ขณะที่ปัจจัยบวกของยานยนต์ไฟฟ้าในปีนี้คือ ‘การผลิต’ ซึ่งต้องเป็นไปตามมาตรการการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อชดเชยการนำเข้าตามโครงการ EV3.0 ในสัดส่วนของการนำเข้า 1.5 เท่า ซึ่งหากผลิตไม่ทันจะไม่ได้รับค่าชดเชยตามเงื่อนไข โดยการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศจะเป็น 500,000 คัน เพิ่มขึ้น 8.73%
บวกกับรัฐบาลตั้งเป้าผลักดัน GDP โตมากกว่า 3% เมื่อดูจากยอดขอรับการส่งเสริมจาก BOI ที่สูงถึง 1,120,000 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี เพิ่มขึ้น 35% จากปี 2566 โดยยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์มูลค่ากว่า 102,000 ล้านบาท
จับตาทรัมป์ 2.0 ปัญหาหนี้ยังท่วมคนไทย
ทั้งนี้ ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ปีนี้ ส.อ.ท. ยังคงจับตาความเข้มงวดการปล่อยกู้ซื้อรถของสถาบันการเงิน ที่มียอดปฏิเสธสูงกว่า 70% จากปัญหาหนี้ครัวเรือน หลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำชับว่าต้องปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ และประเมินว่าหนึ่งในปัจจัยลบที่จะเป็นความท้าทายในปีนี้คือมาตรการด้านการค้าของทรัมป์ 2.0 ว่าจะขึ้นภาษีอากรนำเข้าอีกมากน้อยแค่ไหน
“โดยเฉพาะเม็กซิโกที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าแล้ว ก็มีผลต่อการส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ไทย อีกทั้งคู่แข่งในประเทศคู่ค้ามีมากขึ้น รวมถึงประเทศคู่ค้ามีการผลิตรถกระบะซึ่งอาจลดคำสั่งซื้อและอาจส่งออกแทนประเทศไทยจากการผลิตรถกระบะลดลง” สุรพงษ์กล่าว
นอกจากนี้ยังต้องเกาะติดความขัดแย้งและการสู้รบในภูมิภาคต่างๆ ที่อาจขยายเพิ่มขึ้นทั้งภูมิภาคเดิมและภูมิภาคใหม่ และมาตรการที่เข้มงวดในการปล่อยคาร์บอนของรถยนต์ของประเทศคู่ค้าที่ทำให้รถยนต์บางรุ่นนำเข้าไม่ได้
ห่วงแรงงานกว่า 110,000 คน ย้ายไปทำงานในอุตสาหกรรมอื่น
ด้าน Krungthai COMPASS รายงาน ‘จุดเปลี่ยนธุรกิจยานยนต์ไทย’ ว่าปีนี้อุตสาหกรรมยานยนต์จะเจอความท้าทายอย่างมาก และทำให้การผลิตรถยนต์ของไทยกลับไปอยู่ในระดับเดียวกับในอดีต โดยคาดว่าในปี 2568-2569 ยอดการผลิตรถยนต์จะอยู่ในระดับต่ำที่ 1,470,000-1,530,000 คัน ลดลงจากค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง (ปี 2562-2566) ราว 15%
โดยแรงงานกว่า 110,000 คนในอุตสาหกรรมยานยนต์มีความเสี่ยงย้ายไปทำงานในอุตสาหกรรมอื่นหากปริมาณการผลิตรถยนต์ไทยอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน และผู้ผลิตชิ้นส่วนไม่สามารถปรับตัวให้สอดรับกับ NEV โดยเฉพาะในพาร์ตที่มีความเสี่ยงสูง
อีกทั้งในปี 2568 ประเมินว่าจีนจะส่งออก NEV สูงถึง 6,000,000 คัน เพิ่มขึ้น 3-4 เท่า ซึ่งจะเข้ามาซ้ำเติมปัญหา Over Supply และกดดันให้สงครามราคาขยายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น
ภาพ: vcg / Getty Image