วานนี้ (27 มิถุนายน) เจ้าหน้าที่รัฐเท็กซัสและสื่อท้องถิ่นรายงานว่า พบศพผู้อพยพอย่างน้อย 46 ราย ถูกทิ้งไว้หลังรถบรรทุกพ่วงริมถนนในเมืองซานอันโตนิโอ รัฐเท็กซัสของสหรัฐอเมริกา โดยมีผู้รอดชีวิต 16 คนด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว
วิลเลียม แม็กมานัส อธิบดีกรมตำรวจซานอันโตนิโอ กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อคืนนี้ว่า รถบรรทุกพ่วงคันดังกล่าวจอดอยู่ข้างทางรถไฟ โดยเมื่อช่วงเวลาประมาณ 18.00 น. ของวานนี้ตามเวลาสหรัฐฯ มีพลเมืองดีที่ทำงานอยู่แถวนั้นได้ยินเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือ และเห็นร่างผู้เสียชีวิตจำนวนมากอยู่ท้ายรถบรรทุกจากประตูที่เปิดแง้มไว้ จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ให้รีบเข้ามาช่วยเหลือโดยด่วน
เจ้าหน้าที่หน่วยดับเพลิงเปิดเผยว่า ถือเป็นเรื่องที่น่าสลดใจอย่างมาก ที่ทีมกู้ภัยเปิดหลังรถบรรทุกแล้วพบกับร่างผู้เสียชีวิตที่นอนเรียงซ้อนกันเป็นกองพะเนิน โดยผู้เสียชีวิตมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ส่วนใหญ่เป็นคนในวัยหนุ่มสาว ส่วนบรรดาผู้ที่รอดชีวิตมานั้นอยู่ในภาวะขาดน้ำอย่างหนักและเหนื่อยล้าหมดแรง เนื่องจากเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนจัดในตู้รถบรรทุก โดยในจำนวนดังกล่าวมีเด็กน้อยอยู่ด้วย 4 คน
หน่วยสืบสวนเพื่อความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Homeland Security Investigations) ได้รับหน้าที่เป็นผู้สืบสวนคดีนี้ โดยเบื้องต้นคาดว่า สาเหตุของการเสียชีวิตมาจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดถึง 38 องศาเซลเซียส และเมื่อคนจำนวนมากยืนอัดแน่นกันอยู่ในรถพ่วงก็จะยิ่งทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นจนหายใจลำบาก
ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยแล้ว 3 คนด้วยกัน แต่ยังไม่ชัดเจนว่าคดีที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์หรือไม่ เบื้องต้นสันนิษฐานว่า รถบรรทุกคันดังกล่าวอาจพยายามลักลอบพาคนเข้าสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย ซึ่งเจ้าหน้าที่จะสืบสวนหาความกระจ่างต่อไป
เกร็ก แอบบอตต์ ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส ได้โพสต์ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์เกี่ยวกับข่าวที่เกิดขึ้น พร้อมกล่าวโทษว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิต จากนโยบายเปิดพรมแดนที่เป็นอันตรายต่อผู้อพยพ
อย่างไรก็ตาม การที่ผู้อพยพเสียชีวิตจากคลื่นความร้อนไม่ใช่เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในสหรัฐฯ เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อปี 2017 ก็เคยเกิดเหตุการณ์ที่ผู้อพยพ 10 คน เสียชีวิตคารถบรรทุกเนื่องจากอากาศที่ร้อนจัด รวมถึงในปี 2003 ที่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในลักษณะคล้ายคลึงกัน 19 คน
ภาพ: Jordan Vonderhaar / Getty Images
อ้างอิง:
