นาทีนี้คนที่อยู่ในโลกของการลงทุนคงแทบจะไม่มีใครไม่รู้จักหุ้น Tesla จากการเป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากทั้งนักลงทุนในสหรัฐฯ และทั่วโลก ราคามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในปี 2020 ที่กำลังจะจบปีไป โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 730% (YTD) จากราคาปิดในวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยเป็นหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุดในปี 2020 แซงหน้าบริษัท Zoom Video และ Moderna ไปแล้วเรียบร้อย
การที่ราคาหุ้นของ Tesla ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างโดดเด่นเนื่องมาจากปัจจัยหนุนเหล่านี้
1. ผลการดำเนินงานที่เติบโตได้ดีและยังเติบโตได้อีกมาก หลังโรงงาน Gigafactory 3 (Giga Shanghai) ในเซี่ยงไฮ้เริ่มการผลิตเต็มรูปแบบช่วงปลายปี 2019 และจะเริ่มขยายโรงงานระยะที่ 2 เพิ่มเติม
2. เป็นธุรกิจที่ยังเติบโตได้อีกยาวจากกระแสความนิยมรถยนต์ EV ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก
3. การแพร่ระบาดส่งผลให้ธนาคารกลางต่างๆ มีการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มขึ้นมาก และดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้กระแสเงินลงทุนจากนักลงทุนไหลเข้าไปในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นจำนวนมาก เนื่องจากหุ้นในกลุ่มเหล่านี้สามารถเติบโตได้แม้ในภาวะวิกฤต รวมถึงมีกระแสเงินสดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
4. นักลงทุนหน้าใหม่เกิดขึ้นในปริมาณสูง เนื่องจากมาตรการล้อกดาวน์ส่งผลให้ผู้คนในหลายประเทศทั่วโลกต้องกักตัวอยู่กับที่พักอาศัย จึงได้หันมาเป็นนักลงทุนเพื่อหากิจกรรมคลายเบื่อรวมถึงหารายได้เพิ่มเติมด้วย โดยหุ้น Tesla เป็นหุ้นที่นักลงทุนหน้าใหม่ให้ความนิยมมากที่สุด ไม่ใช่แค่ในสหรัฐฯ เท่านั้น นักลงทุนนอกสหรัฐฯ ก็ให้ความนิยมต่อหุ้น Tesla เป็นอย่างสูงเช่นเดียวกัน จากการสำรวจในประเทศเศรษฐกิจชั้นนำอย่างเกาหลีใต้และอินเดียก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
5. กระแสความนิยมในกองทุนประเภท Innovative หรือกองทุนที่ลงทุนในหุ้นที่มีนวัตกรรมสูงเป็นที่นิยมไปทั่วโลก อย่างกองทุน Ark Innovation ETF ที่มีผู้จัดการกองทุนชื่อดังอย่าง Catherine Wood และถือหุ้น Tesla มากเป็นอันดับ 1 ของพอร์ตโฟลิโอราว 10-11% มีเม็ดเงินในการบริหารจัดการเติบโตขึ้นมาก จากระดับ 5,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงต้นปี 2020 ปัจจุบันมีสินทรัพย์ภายในการบริหารจัดการสูงกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์แล้ว
6. ล่าสุด การประกาศให้นำหุ้น Tesla เข้ามาคำนวณในดัชนี S&P 500 ตั้งแต่การซื้อขายในวันที่ 21 ธันวาคม 2020 คือปัจจัยบวกล่าสุดที่ทำให้ราคาหุ้น Tesla ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างโดดเด่น เนื่องจากกองทุนทั้งแบบ Active และ Passive ที่มีดัชนี S&P 500 เป็นดัชนีอ้างอิงต้องมีการปรับพอร์ตเพื่อใส่หุ้น Tesla เข้ามาในพอร์ตการลงทุน ส่งผลให้ 1 เดือนที่ผ่านมาราคาของหุ้น Tesla ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 42% และมาปิดที่ 695 ดอลลาร์ ถ้าเป็นพาร์เดิม ราคาหุ้น Tesla จะอยู่ที่ 3,475 ดอลลาร์ หรือหุ้นละมากกว่า 100,000 บาทเลยทีเดียว และเมื่อ Tesla ถูกนำเข้ามาคำนวณในดัชนี S&P 500 แล้ว หุ้นของ Tesla จะมีมูลค่าตลาดมากเป็นอันดับ 6 ของตลาด โดย 5 อันดับแรกของดัชนีคือ Apple, Microsoft, Amazon, Facebook และ Alphabet และอยู่ในอันดับเหนือกว่าหุ้น Berkshire Hathaway ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่อยู่ในอันดับ 7 อีกด้วย
สำหรับประเด็นการเข้าเป็นสมาชิกใหม่ของดัชนี S&P 500 ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อจากนี้คือ
1. จากจุดยืนของ Fed ที่จะคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินไปอีกพักใหญ่จนกว่าตลาดแรงงานจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะใช้เวลาอีกราว 2 ปีนับจากนี้ เป็นปัจจัยที่จะทำให้กระแสเงินลงทุนเข้าสู่ตลาดหุ้นเพิ่มเติมเพื่อหาผลตอบแทน โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะดัชนี S&P 500 และกองทุนประเภทนวัตกรรม ซึ่งก็น่าจะทำให้เม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนสถาบันไหลเข้าไปในหุ้น Tesla เพิ่มมากขึ้น
2. อีลอน มัสก์ เป็นผู้ประกอบการที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ไม่ใช่แค่ในเรื่องของการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังหาประโยชน์จากกระแสข่าวด้านบวกที่ S&P 500 จะนำเข้าไปคำนวณในดัชนี ทางบริษัทได้ประกาศเพิ่มทุนทันที 5,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา และได้การตอบรับจากนักลงทุนรายย่อยเป็นอย่างดี ทำให้บริษัทมีเงินไปหมุนเวียนในธุรกิจเพิ่มเติม ในอนาคตการเพิ่มทุนของ Tesla จะทำได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการเป็นสมาชิกของดัชนี S&P 500 โดยเฉพาะจากนักลงทุนสถาบัน เนื่องจาก Tesla ยังต้องการเงินทุนอีกมากจากการขยายโรงงาน Giga Berlin และ Giga Texas แต่ก็เป็นสตอรีการเติบโตที่ทำให้นักลงทุนตื่นเต้นได้
3. ปัจจุบัน Tesla ถูกเทรดกันในราคาที่แพงมากที่ Forward PE 186 เท่า ส่งผลให้ดัชนี S&P 500 จะมี Forward PE ที่ 22.6 เท่า และเมื่อราคาหุ้นของ Tesla เปลี่ยนแปลงไม่ว่าขึ้นหรือลง 11.11 ดอลลาร์ จะส่งผลให้ดัชนี S&P 500 เปลี่ยนแปลง 1 จุด
สรุป
การที่บริษัทถูกนำเข้าไปคำนวณในดัชนี S&P 500 ถือเป็นก้าวที่สำคัญมากของบริษัท ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในหุ้น Tesla มากขึ้น ทั้งจากกองทุนแบบ Active และ Passive นอกจากนี้แล้วการขยายกิจการของ Tesla ก็จะทำได้สะดวกขึ้นทั้งในการออกหุ้นเพิ่มทุนหรือออกหุ้นกู้ประเภทต่างๆ ในอนาคต ปัจจุบันตลาดเชื่อว่าเทคโนโลยีของ Tesla นำหน้าคู่แข่งอยู่ราว 3-4 ปี ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูงสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี คู่แข่งที่สำคัญอย่าง Toyota, Porsche, Volkswagen, BMW, Mercedes-Benz และผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์จีนอย่าง Nio, BYD และ Xiaopeng คงจะเร่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อไล่ตาม Tesla ให้ทันอยู่อย่างแน่นอน รวมถึงคู่แข่งในอนาคตที่กำลังเปิดตัวอย่าง Apple ที่ตั้งท่าจะเข้ามาในตลาดนี้พักใหญ่แล้ว ดังนั้น Tesla จึงต้องถีบตัวเองขึ้นไปเพื่อทิ้งห่างคู่แข่ง ซึ่งปัจจัยสนับสนุนต่างๆ ต่อ Tesla ก็พร้อมมากขึ้น จากนี้ไป 1-2 ปี เชื่อว่าภาพการแข่งขันในตลาดรถยนต์ EV จะเข้มข้นขึ้นมากอย่างแน่นอน
มาดูกันต่อไปว่า อีลอน มัสก์ จะใช้กลยุทธ์อะไรที่จะพา Tesla ให้เติบโตขึ้นจากตอนนี้ เพราะการระดมทุนของ Tesla ในช่วงต่อจากนี้ไปจะไม่ยากเหมือนแต่ก่อนแล้ว
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า