เป็นอีกครั้งที่ชื่อของ ชาคริต แย้มนาม หรือที่สังคมเคยตั้งฉายาให้ว่า ‘พระเอกไม้เลื้อย’ กลายเป็นข่าวใหญ่ เมื่อเขาประกาศแต่งงานครั้งที่ 2 กับ แอน-ภัททิรา รุ่งโรจน์ แบบสายฟ้าแลบในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 พร้อมกับลูกชายตัวน้อยๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นมา
นอกจาก THE STANDARD จะร่วมแสดงความยินดีกับบทบาทการเป็น ‘พ่อ’ ที่เขาใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก วันนี้เรามีโอกาสนั่งคุยกับเขาแบบยาวๆ ถึงช่วงเวลาแสนสุขที่เกิดขึ้นในระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เป็นระยะเวลาสั้นๆ ที่เขายกให้เป็นเรื่องที่ ‘มหัศจรรย์’ ที่สุดในชีวิต เพราะไม่เพียงแต่ชีวิตเขาเท่านั้นที่เปลี่ยนไป ชีวิตน้อยๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นมา ยังส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับคุณแม่ของชาคริตที่ป่วยหนัก ให้กลับมามีกำลังใจในการมีชีวิตอยู่อีกครั้ง
ตลอดเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงที่เขายอมเปิดใจให้เราฟัง ทุกครั้งที่เขาพูดถึงภรรยา ลูก และคุณแม่ เราสัมผัสได้ทันทีว่า ‘ครอบครัว’ คือสิ่งที่มีความหมายกับชีวิตของผู้ชายคนนี้มากขนาดไหน และนี่คงถึงเวลาแล้วที่ ‘ไม้เลื้อย’ ต้นนี้ จะลงหลักปักฐานให้กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สมบูรณ์และแข็งแกร่งกว่าที่เป็นมา
ตอนนี้คนส่วนใหญ่คงคิดเหมือนกันว่าคนแบบชาคริตมีความรักได้ง่ายๆ เพราะจบความสัมพันธ์กับใครไป ก็จะมีความรักครั้งใหม่เกิดขึ้นเสมอ ยืนยันตรงนี้ได้ไหมว่าความรักของคุณทุกครั้งมันง่ายแบบนั้นจริงๆ หรือเปล่า
ผมว่ามันยากมากกว่า การที่จะมีใครสักคนมาคบกับชาคริตได้นี่ยากนะ เพราะเขาต้องคิดถึงเรื่องที่เขาจะต้องเจอ คิดว่าคุ้มหรือเปล่าที่ต้องมาเจอสังคมที่ตีค่าเขาไปก่อนแล้วว่าเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ ไม่เหมาะสมบ้างล่ะ อะไรบ้างล่ะ เอาจริงๆ ตรงนี้มันเป็นเหมือนกำแพงด่านหนึ่งที่คอยกั้นความรักที่มันจะเกิดขึ้นเอาไว้ก่อนอยู่แล้ว
อีกอย่าง ถ้าบอกว่าผมมีความรักง่าย ถ้าง่ายจริงป่านนี้ผมคงเละไปแล้ว หมายถึงว่าถ้าเป็นชาคริตแบบที่คนคิดกันนะครับ จะเจ้าชู้หรือพระเอกไม้เลื้อยอะไรก็ว่าไปตามแต่คนจะเรียก ถ้าผมง่ายแบบนั้นจริงมันต้องกลายเป็นใครก็ได้ที่เข้ามาแล้วหรือเปล่า ลองนับดูนะตั้งแต่ผมอายุ 20 ปี ผมมีแฟนมา 7 คน ถามจริงๆ มันง่ายเหรอวะ ถ้าคนอื่นเป็นแบบผม คุณคิดว่าเขาจะมีแค่ 7 คนหรือเปล่า ในเงื่อนไขเดียวกันคือเป็นผู้ชายที่ชื่อชาคริตตอนนี้นะ แล้วผมไม่เที่ยวอาบอบนวด ไม่ซื้อกิน บางช่วงผมไม่มีใครมา 2-3 ปี อ้าว ก็ไม่เห็นมีใครเขียนถึงตอนนั้นนี่หว่า
แต่ช่วงก่อนอายุ 20 ผมก็ต้องยอมรับว่าก่อนหน้านั้นมันมีที่ทำพลาดกันบ้าง ผมมีเซ็กซ์ตั้งแต่อายุ 13 ปี ผมเรียนโรงเรียนนานาชาติตั้งแต่อายุ 15 ปี ที่ค่อนข้างทำให้ได้รู้จักเรื่องพวกนี้เยอะ แต่พอสัก 18-20 ก็เริ่มหยุดแล้ว เพราะแม่ผมสอนตลอดเวลาว่าอย่าทำอะไรไม่ดีกับผู้หญิง อะไรที่ทำพลาดก็จำไว้เป็นบทเรียน หลังจากนั้นเวลาจะทำอะไรแบบนั้นหน้าแม่จะลอยขึ้นมา แล้วคิดกลับกันเราคงไม่อยากให้แม่เรา หรือคนที่เรารักต้องเจออะไรแบบนั้น เพราะฉะนั้นก็เริ่มจากการที่เราไม่ทำตั้งแต่แรก นั่นคือสิ่งที่เป็นอุทาหรณ์ในใจผมตลอด ผมถึงอยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์ตั้งแต่เด็กไง
ผมเจ็บปวดเหมือนกันนะเวลาเป็นแบบนั้น ผมก็มีพ่อมีแม่นะ แล้วแม่ผมเลี้ยงมาดีด้วย เพราะฉะนั้นผมให้ความสำคัญกับความรู้สึกของทุกฝ่ายมาก แล้วคิดแทนเขาไปหมด นั่นคือความเจ็บปวดที่สื่อไม่เคยคำนึงว่าผมจะรู้สึกอย่างไร
แสดงว่ากลายเป็น ‘ชื่อชาคริต’ นี่ล่ะ ที่ทำให้ผู้หญิงต้องคิดหนักก่อนที่จะเริ่มต้นความสัมพันธ์ด้วย
แน่นอน แต่ว่ามันก็มีหลายแบบ ถ้าเป็นเคสที่ตั้งใจเข้ามาเพื่ออะไรบางอย่างนอกเหนือจากความรักเราก็ต้องปกป้องตัวเองด้วย เพราะสุดท้ายจากประสบการณ์หลายสิบปีของผม ถ้าเป็นข่าวกับผู้หญิงทีไร ผมซวยทุกที เล่นละครมา 60 เรื่อง ก็เป็นข่าวกับผู้หญิง 60 คน แต่ในความเป็นจริงมันไม่มี มีแค่จั๊กจั่น (อคัมย์สิริ สุวรรณศุข จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รักเธอ) คนเดียวที่เข้าเคสนั้นจริงๆ แต่เคสอื่นคนเขาไม่กลั่นกรองกันเลย ทำให้เป็นข่าวไว้ก่อน ถ้าเป็นแบบนั้นจริงป่านนี้ผมจมตีนไม่รู้กี่ตีนต่อกี่ตีนแล้ว
มีเยอะหรือเปล่า ที่คุยกันจนถึงขั้นอยากคบกันแบบจริงจัง แต่สุดท้ายผู้หญิงกลัวสิ่งที่จะต้องเจอไม่สามารถสานความสัมพันธ์ต่อได้
อาจจะมีบ้างตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เริ่มคุยเลย แต่สุดท้ายจะเป็นผมเองที่กลัวมากกว่า กลัวว่าใจตัวเองจะต้องเจ็บอีก เพราะทุกครั้งที่ความรักมันจบ มันเจ็บทุกครั้งนะ ทั้งจากความรักที่เพิ่งจบไป ทั้งจากสังคมหรืออะไรก็ได้ที่เป็นทางลบ ผมคิดเรื่องตรงนี้เยอะมาก เพราะฉะนั้นกว่าความรักจะเกิดขึ้นได้จริงๆ ผู้หญิงเขาต้องไฟต์มาประมาณหนึ่งเลยนะ
ยังไม่พูดถึงความกลัวที่ว่าจะต้องทำให้ใครทะเลาะกับพ่อแม่เขาอีก เพราะบางทีสื่อไปตีข่าวด่าเขาโดยที่เขายังไม่ได้ทำอะไรเลย คนเป็นพ่อเป็นแม่ใครจะชอบให้ลูกตัวเองเจอแบบนั้น นึกออกไหม เขามองว่าจะให้ลูกสาวมาคบกับมันทำไม มีแต่เสียกับเสีย แล้วไม่ใช่ไม่เจ็บปวด ผมเจ็บปวดเหมือนกันนะเวลาเป็นแบบนั้น ผมก็มีพ่อมีแม่นะ แล้วแม่ผมเลี้ยงมาดีด้วย เพราะฉะนั้นผมให้ความสำคัญกับความรู้สึกของทุกฝ่ายมาก แล้วคิดแทนเขาไปหมด นั่นคือความเจ็บปวดที่สื่อไม่เคยคำนึงว่าผมจะรู้สึกอย่างไร แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่มันเป็นโลกที่ขับเคลื่อนด้วยความอยากของคนด้วยแหละ คนเราดันไปอยากรู้แต่เรื่องอะไรพวกนี้ไปกันหมด
บางทีคิดไปถึงขั้นว่า นี่เป็นอะไรกันวะ ทำไมสังคมแม่งน่ากลัวมาก อยู่ยากมาก ไม่ใช่แค่การนำเสนอข่าวนะ รวมไปถึงการสร้างสื่อละคร หนังอะไรทั้งหมดเลย อันนี้ต้องขอพูดเพราะว่าเป็นเรื่องที่ผมให้ความสำคัญเหมือนกัน โดยเฉพาะยิ่งผมกำลังจะมีลูกด้วย เด็กเดี๋ยวนี้เดินเป็นหุ่นยนต์กันหมดเลย สื่อมีผลกับเยาวชนมากเลยนะครับ โดยเฉพาะหนังกับละคร กลายเป็นว่าไม่หยาบคนไม่ดู ผู้ใหญ่เลยต้องสนับสนุนสิ่งหยาบๆ เลวๆ เพื่อให้เด็กมันดูอีก นี่มันอะไรกันวะเนี่ย คุณทำให้ดีก็ได้ ทำให้มันมีคลาสหน่อยสิ ผลงานสมัยก่อนน่าชื่นชมมากเลยนะ แต่ตอนนี้กลายเป็นอะไรไม่รู้ เอาเด็กมายืนพูดคำหยาบใส่กันได้ 100 ล้าน บางเรื่องเขาสร้างกันแทบตายได้ 8 แสน นี่คือสิ่งที่ผมโคตรอยากรณรงค์เลย
เดี๋ยวช่วงปีใหม่นี้ ผมจะมีหนังเรื่องใหม่ ‘คิดถึงทุกปี Memories of New Years’ เป็นหนังง่ายๆ ที่พยายามเล่าถึงวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ และรอยยิ้มที่คนเรามอบให้กันได้ง่าย โดยใช้วัฒนธรรมของไทย ลาว และเวียดนามเป็นตัวนำ หนังเล่าง่ายมาก แต่สวยงาม ผมว่าสอนอะไรได้หลายอย่างโดยเฉพาะวัฒนธรรมดีๆ ที่เราอาจจะลืมไปแล้ว อยากให้ทุกคนช่วยกันสนับสนุน แล้วเดี๋ยวมาดูกันว่าผลจะเป็นอย่างไร
เขาเอามือมาจับท้องแอน มองหน้า แล้วดึงหน้าแอนเข้ามาจุ๊บ เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นแม่จุ๊บผู้หญิง ในชีวิตที่ผ่านมาแม่ไม่เคยจูบใครทั้งสิ้น ยิ่งป่วยยิ่งไม่มีทาง รับรู้ได้เลยว่าใจเขามาเต็มมาก
ตั้งแต่รู้ตัวว่ากำลังจะเป็นพ่อคน คุณจะพูดถึงความมหัศจรรย์ของความรักและชีวิตใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นมาบ่อยมาก ความมหัศจรรย์มีความสำคัญกับตัวคุณอย่างไรบ้าง
ก่อนเริ่มที่ตัวผม ต้องพูดไปถึงคุณแม่ก่อน อย่างที่ทราบกันว่าคุณแม่ผมป่วยเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม 2559 ซึ่งคุณแม่เคยบอกกับผมไว้นานแล้วว่าถ้าเขาเป็นแบบนี้เมื่อไรให้หมอดึกปลั๊กเครื่องช่วยหายใจออกเลย เพราะเขาไม่อยากพิการ เขารับตัวเองไม่ได้ แต่ช่วงปีที่แล้วมีมรสุมเกิดขึ้นกับผมหลายอย่าง เข้าใจว่าคุณแม่เป็นห่วงผมว่าถ้าเขาเป็นอะไรไป แล้วผมจะฆ่าตัวตายตามเขาไปด้วย ก็เลยพยายามมีชีวิตอยู่ต่อเพราะไม่อยากให้ผมเสียใจมากกว่านี้
จนช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนของปีนี้ ทุกอย่างเริ่มโอเคขึ้น ก็เป็นช่วงที่คุณแม่เริ่มต่อต้านทุกอย่าง ไม่อาบน้ำ ไม่เปลี่ยนแพมเพิร์ส ปล่อยให้ตัวเองเน่า ไม่ลุกเดิน ไม่กินข้าวจนน้ำหนักหายไปเป็น 10 กิโลฯ ตัวเหลืองไปหมด เขาจะตรอมใจอยู่บนเตียงแบบนั้นประมาณ 2-3 อาทิตย์ จนผมต้องพาคุณแม่ไปโรงพยาบาลอีกรอบ แล้วบอกเขาว่า “หม่ามี้ การที่ยูเป็นแบบนี้มันไม่ใช่แค่ทำร้ายตัวเองอย่างเดียว แต่ยูกำลังทำร้ายไอให้ตายทั้งเป็น ตอนนี้ยูยังไม่ตาย ยูหายได้ ไอเชื่ออย่างนั้น” ก่อนหน้านั้นผมเตรียมไว้แล้วนะ ว่าถ้าคราวนี้จะต้องถอดปลั๊กก็คงต้องถอด เพราะว่ามันไม่มีอะไรที่จะหนักไปกว่านี้แล้วจริงๆ แต่สุดท้ายเขาก็กลับมาสู้อีกครั้ง รักษาตัวเองในโรงพยาบาลจนกลับมาที่บ้านได้
พอกลับมาบ้านอาการของคุณแม่ก็ยังทรงๆ ไม่มีชีวิตชีวา ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ จนกระทั่งช่วงกลางปี เริ่มมีแอนเข้ามาคอยช่วยดูแล คุณแม่ก็โอเคขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งประหลาดมากที่คุณแม่เปิดรับ เพราะแม่ไม่เคยเปิดรับใครบนโลกนี้ แต่พอเป็นแอนเขาจะฟัง ยอมให้ป้อนข้าว ให้เปลี่ยนแพมเพิร์ส
รีแอ็กชันแรกของคุณแม่ในวันที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะมีหลานเป็นอย่างไร
ผมกับแอนเอาพวงมาลัยไปกราบเท้าเขา บอกว่า “หม่ามี้ วันนี้เป็นวันดี กำลังจะได้หลานสมใจแล้ว น้องแอนกำลังตั้งท้องแล้วนะ” เขาเอามือมาจับท้องแอน มองหน้า แล้วดึงหน้าแอนเข้ามาจุ๊บ เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นแม่จุ๊บผู้หญิง ในชีวิตที่ผ่านมาแม่ไม่เคยจูบใครทั้งสิ้น ยิ่งป่วยยิ่งไม่มีทาง รับรู้ได้เลยว่าใจเขามาเต็มมาก
ในเคสของคุณแม่ ทุกคนลงความเห็นเหมือนกันหมดว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือตัวของเขาเอง เพราะเขาสามารถทำได้ทุกอย่าง ถ้าจะไปเขาไปได้เลย ถ้าจะอยู่เขาก็อยู่ได้ เราทำได้ดีที่สุดแค่ดูแล ที่เหลืออยู่ที่เขาคนเดียว แต่ตอนนี้พอมีไอ้ตัวเล็กเข้ามากลายเป็นว่าเขาทำได้มากกว่านั้นเยอะ เพราะว่านี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาอยากได้มาตลอด เขาเคยถามผมตลอดว่าเมื่อไรจะมีหลาน จนเลิกถามไปนานแล้ว (หัวเราะ)
วันแต่งงานคุณแม่ก็เดินทางไกลไปร่วมงานที่จังหวัดจันทบุรีด้วย
โห เรื่องนี้ก็คือที่สุดของความมหัศจรรย์ครับ ก่อนหน้านั้นพวกเรากังวลกันมากว่าคุณแม่จะไปไหวหรือเปล่า เราไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะเราไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ของเขาได้เลย ถ้าอยู่ๆ ไปแล้วเขานึกจะกลับเราก็ห้ามไม่ได้ แล้วการนั่งรถนานๆ ก็ไม่ใช่เรื่องดีอยู่แล้วสำหรับคนป่วยแบบนี้
ก่อนถึงวันงานผมต้องเดินทางล่วงหน้าไปก่อน ประมาณ 6 โมงเย็น อยู่ดีๆ พยาบาลส่งคลิปมาให้ดู เป็นคลิปที่คุณแม่ลุกขึ้นมาปั่นจักรยานกายภาพบำบัด แล้วพยายามนับจนได้ครบ 30 ครั้ง ทั้งๆ ที่ 3-4 เดือนที่ผ่านมาคุณแม่แทบไม่พูดอะไร และไม่อยากทำไรเลยด้วยซ้ำ เหมือนเขารู้ว่าต้องเดินทางไกล เลยลุกขึ้นมาออกกำลังกายเพื่อให้ตัวเองแข็งแรง พอตอนเช้าคุณแม่นั่งรถมาถึงงานพิธี เชื่อไหม ทุกคนในงานร้องไห้เหมือนกันหมด เพราะทุกคนรู้เรื่องราวที่พวกเราเจอมาตลอด แล้วสิ่งแรกที่คุณแม่ทำคือพุ่งเข้าไปหาแอน มันเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มากจริงๆ หลังจากนั้นพอกลับถึงบ้าน จากที่ต้องกินอาหารบดผ่านหลอดดูดหรือกรอกเข้าไป เพราะไม่ยอมเคี้ยวอะไรทั้งสิ้น อยู่ดีๆ กลับไปกินข้าวแบบคนปกติ ตักกินเอง ปั่นจักรยานเอง เริ่มฝึกพูด เริ่มมีกำลังใจ เตรียมตัวที่จะเลี้ยงหลานแล้ว
คำร่ำลือจากเพื่อนใกล้ตัวที่มีลูกไปก่อนแล้ว กับความรู้สึกเวลารู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นพ่อคนจริงๆ แตกต่างกันเยอะไหม
ผมได้ยิน 2 กระแส คือพวกที่มีลูกประมาณ 1-4 ขวบ จะบอกว่า เฮ้ย มีดิวะ จะได้ให้ลูกมาเล่นกัน แต่พวกรุ่นพี่ที่แก่กว่า มีลูกอายุประมาณ 15-16 จะบอกว่า มึงเชื่อกู อย่ามีลูกนะ (หัวเราะ) ผมแม่ง อ้าว จะเอายังไงกับกูเนี่ย แต่ผมอยากมีลูกมาตั้งแต่เด็กๆ อยู่แล้ว ยังไงก็อยากมีอยู่ดี
แล้ววันที่เทสต์การตั้งครรภ์แล้วขึ้น 2 ขีดปุ๊บนี่เชื่อไหม ผมโดดเป็นลิงเลย ดีใจมาก มันคือความกระตือรือร้นบางอย่าง เป็นพลังขับเคลื่อนที่ทำให้เราอยากมองไปข้างหน้าไกลๆ จากปกติผมเป็นคนโคตรสโลว์ไลฟ์เลยนะ มีอะไรก็เดี๋ยวค่อยทำ แต่อันนี้ทั้งวันคือเปิดหาข้อมูล ยังไงดีวะ หมอคนไหนดี ต้องเตรียมอะไรบ้าง ต้องทำยังไง รู้ทันทีเลยว่าเราใส่ใจกับเขามากกว่าทุกเรื่องใดๆ ทั้งหมดที่เคยผ่านมา
มีอะไรอยากบอกภรรยาในฐานะผู้มอบของขวัญที่มหัศจรรย์แบบนี้ให้กับคุณบ้างไหม
โอ้โห เพิ่งเมื่อคืนนี้เลย ผมนั่งคุยกับภรรยาเรื่องบ้าน เรื่องครอบครัว แต่ตอนนั้นผมเหนื่อยมาก ทำงานมาทั้งเดือนแบบไม่ได้พัก ก็นั่งฟังนิ่งๆ เบลอๆ ไม่ได้ตอบโต้อะไร อยู่ดีๆ ผมก็พูดออกมาว่า “เออ ขอบคุณนะที่เข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา แล้วใส่ใจรายละเอียดในตัวเราขนาดนี้” เพราะปกติเวลาใครพูดอะไรมาผมเถียงฉิบหายเลย แต่พอสัมผัสได้ว่ามันมาจากความเป็นจริง มาจากจิตใจของเขาที่เรียบง่าย ที่มองถึงความสุขของการอยู่ร่วมกันมากกว่าต้องไปทำอะไรให้คนอื่นเห็น หรือเอาไปอวดใคร มันคือเราอยู่กันแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว นั่นคือความสุขที่ไม่มีใครเอาไปจากเราได้ มันรู้สึกขึ้นมาว่า เออ เราไม่เคยมีมุมนี้เลยว่ะ นี่คือภาพของเพอร์เฟกต์แฟมิลี่ที่เราเคยคิด และเกือบลืมไปแล้วว่าเราเคยเชื่อในความรักแบบนี้
ผมเชื่อว่ามีหลายคนที่ไม่เข้าใจว่าไอ้ความมหัศจรรย์ที่ผมพูดมาตลอดมันคืออะไร ผมได้แต่หวังว่าวันหนึ่งเขาจะมีโมเมนต์ที่รู้สึกว่านั่นคือปาฏิหาริย์ ที่ทำให้เขาเข้าใจว่านั่นคือความสุข มันหาคำมาพูดแทนไม่ได้เลยนะ ถ้ามันมีคำที่ดีกว่าคำว่าขอบคุณ ดีกว่าคำว่าความสุข ดีกว่าคำว่าความรัก หรืออะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นผมก็อยากให้มันมีนะ สุดท้ายมันเป็นแค่ความรู้สึกของผมที่เข้าใจอยู่คนเดียว ถ้าให้อธิบายคำพูดมันคงสิ้นสุดแค่นี้ด้วยข้อจำกัดของภาษา แต่ความรู้สึกของผมตอนนี้มันไม่มีที่สิ้นสุดเลย
คิดว่าคนแบบชาคริตน่าจะเป็นพ่อแบบไหน
ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่พิม (ซอนย่า คูลลิ่ง) กับ ลูกเกด (เมทินี กิ่งโพยม) บอกว่าผมต้องเป็นพ่อที่เท่มาก ซึ่งผมก็เชื่ออย่างนั้นนะ (หัวเราะ) แต่ผมน่าจะเป็นพ่อที่ดุเหมือนกันนะ เห็นแบบนี้แต่เวลาดุผมดุเป็นหมาเลยนะ แล้วก็พูดจาตรงเกินเหตุ คงมีเลกเชอร์กันบ้าง แต่ก็รู้แหละว่าบางอย่างต่อให้เราพูดไปเดี๋ยวเขาก็คงไปทำอยู่ดี แต่อย่างน้อยก็พูดกันไว้ก่อน เผื่ออย่างน้อยจะได้ยั้งคิดได้ทัน
หนึ่งเรื่องที่คุณจะดุและไม่ยอมให้ลูกเป็นคนแบบนั้นแน่ๆ
เอาเปรียบคนอื่น เบียดเบียนคนอื่น ดูถูกคนอื่น และคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น อันนี้ไม่ได้เลย อยากให้เขารู้ว่าทุกคนคือมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด แล้วก็ใจเขาใจเรา นั่นคือแกนหลัก ที่เหลือก็เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
DNA ในตัวของคุณที่อยากส่งต่อให้ลูกมากที่สุดคืออะไร
ที่แน่ๆ คือจะไม่ส่งภูมิแพ้กับไซนัสไปให้เขา แต่คิดว่ายังไงเขาต้องเป็นชัวร์ (หัวเราะ) สิ่งที่อยากให้ลูกมีเหมือนผมคงเป็นการรู้จักให้อภัยคน เพราะผมเป็นคนไม่อาฆาตแค้น ไม่อะไรกับใคร แต่เอาไปแค่ส่วนเดียวพอ ไม่ต้องเป็นเท่าผม อยากให้เขาได้อยู่ตรงกลางระหว่างผมกับคุณแม่ของผม คือคุณแม่ของผมก็ใจแข็งสุดยอด ส่วนผมก็ใจดีเกิน
ผู้ชายที่ผ่านโลกมาเยอะประมาณหนึ่งแบบคุณ คิดว่าจะเริ่มสอนให้เขารู้จักกับโลกของผู้ใหญ่อย่างไรดี
ถ้าเป็นเรื่องเซ็กซ์ อย่างลูกชายคุยเมื่อไรก็ได้เนอะ คงสอนเขาให้เร็วที่สุด แต่ถ้าเป็นลูกสาวสัก 11-12 ขวบ ก็คงคุยแล้ว เชื่อผมเถอะว่าไม่เร็วไปหรอก เดี๋ยวนี้เด็กเขาเร็วกว่าที่เราคิดเยอะ อย่างน้อยถ้าเขาจะต้องมีจริงๆ ก็ให้เขามีอย่างถูกต้อง ปลอดภัย รู้จักการให้เกียรติซึ่งกันและกัน กับลูกชายจะย้ำเหมือนที่แม่เคยสอนผมว่า ผู้หญิงไม่ใช่ของเล่นนะ
ส่วนเรื่องกินเหล้า เข้าปาร์ตี้ อันนี้คิดว่าคงนั่งกินด้วยกันเลย คงถามตรงๆ เลยว่าอยากลองไหม เรากินอยู่ที่บ้านไม่เป็นไรอยู่แล้ว ผมเคยพูดว่าถ้าลูกโตต้องให้เขาลองทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นเราจะรู้ได้ยังไงว่าเขาจะเอาตัวรอดได้ อย่างน้อยต้องให้ความรู้ จะกินก็กินแต่แก้วของตัวเอง ห้ามกินที่คนอื่นยื่นให้ ผมว่าให้เรื่องพวกนี้เป็นครูไว้ยังดีกว่าให้เขาไปลองเอง ถ้าโชคดีเขาลองแล้วไม่ชอบ อาจจะกลายเป็นไม่ดื่มไปเลยก็ได้ อันนั้นก็เป็นบุญของลูก เป็นบุญของพ่อแม่ไป
มองอนาคตไว้บ้างหรือเปล่า ว่าอยากให้เขาเติบโตขึ้นมาแบบไหน
ไม่นะ ให้เขาได้เลือกชีวิตด้วยตัวเอง ได้ภูมิใจในการเลือกชีวิตของตัวเอง ผมแค่อยากให้เขารู้สึกว่าได้รับความยุติธรรมจากการกระทำของเขา ที่ถ้าทำดีทุกคนจะพูดถึงความดีของเขา ถ้าทำไม่ดี เดี๋ยวคนจะลงทัณฑ์เขาเอง โดยเฉพาะถ้าเขาบังเอิญอยากอยู่ในวงการบันเทิง ที่ต้องบอกคือมึงจะต้องเจ็บปวดเหลือเกิน ถ้าไม่เข้มแข็งจริงๆ อยู่ไม่ได้นะ เพราะอย่างที่ผมบอกมาตลอด ขนาดเราทำดีแท้ๆ ไม่เคยเบียดเบียนใคร ไม่เคยไปด่าใคร แต่กลายเป็นโดนด่าจนแทบไม่เหลือความเป็นคน มันจะมีสักกี่คนที่ทนไหว อ้อ DNA อีกอย่างหนึ่งที่อยากส่งต่อให้ลูกก็คงเป็นเรื่องความอดทน ความมานะนี่ล่ะที่ผมอยากให้เขามี
- หนังเรื่อง คิดถึงทุกปี Memories of New Years จะเข้าฉายในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่ง THE STANDARD จะนำบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับหนังและเป้าหมายต่อไปในปีใหม่ของชาคริตมาให้ติดตามกันอีกครั้งเร็วๆ นี้
- ตอนนี้ชาคริตกำลังเริ่มต้นธุรกิจใหม่ร่วมกับบริษัท ไฮ โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด ในฐานะผู้คิดค้นและพัฒนาสูตร Chocky Brownie บราวนีสติ๊กอบกรอบ รสช็อกโกแลต และ Dainut เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบรสต้มยำกุ้ง, อบเกลือ, อบสมุนไพร
- ชาคริตรู้จักกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ครั้งแรกตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ด้วยการขโมยเบียร์ในตู้เย็นของคุณแม่มากิน เพราะเห็นว่าผู้ใหญ่ชอบกินน่าจะอร่อย ก่อนที่ผลสุดท้ายจะส่งให้เขาลงไปนอนอ้วกอยู่ที่พื้นสนามหญ้า
- ชาคริตตั้งชื่อลูกชายไว้ว่า โบดี้ จากภาษาอังกฤษคำว่า Bodhi Tree แปลว่า ต้นโพ