“พี่เบิร์ดตัวจริงเป็นคนอย่างไร”
พอรู้ว่าผมเพิ่งได้สัมภาษณ์ พี่เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ สำหรับ THE STANDARD x ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ ก็มีแต่คนถามคำถามนี้กับผม ก่อนหน้านี้ผมได้อยู่ใกล้พี่เบิร์ดตัวจริงที่สุดก็ในตอนดูคอนเสิร์ต คอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ด สมัยยังเล่นที่ศูนย์วัฒนธรรมเป็นครั้งแรกที่ผมเก็บเงินเพื่อพาแม่ไปดูคอนเสิร์ต ถึงจะนั่งแถวหน้าๆ แต่ก็ห่างกันหลายเมตรอยู่ จนกระทั่งได้มาคุยกับพี่เบิร์ดตัวจริงตรงหน้าในระยะนั่งห่างกันไม่ถึงหนึ่งเมตร — นี่มันที่สุดของชีวิตจริงๆ
“ตื่นเต้นไหม จับมือพี่เบิร์ดสิท้อฟฟี่ เห็นไหมมือพี่เบิร์ดเย็นมากเหมือนกัน เพราะพี่ก็ตื่นเต้น พี่เบิร์ดตื่นเต้นอยู่ทุกวันเลยน้องเอ๋ย งั้นเรามากอดกันก่อน เฮ้!” ตอนนี้ระยะห่างของเราไม่มีแล้วล่ะ
แต่ถ้าจะมีเหตุการณ์ไหนสะท้อนถึงตัวตนของพี่เบิร์ดได้ดีที่สุดจากมุมที่ผมได้สัมผัส ผมอยากเล่าเรื่องนี้ให้ฟังครับ
หลังจบการสัมภาษณ์ พี่เบิร์ดเข้ามากอดและบอกว่า “วันนี้ท้อฟฟี่ได้เจอพี่เบิร์ดและมีความสุขมากแล้ว ท้อฟฟี่เอาความสุขนี้ไปบอกพ่อแม่นะ ท่านจะได้รู้ว่าเมื่อเรามีความสุขแล้วเราคิดถึงท่าน มาๆ เรามาวิดีโอคอลหาพ่อแม่กัน” แล้วพี่เบิร์ดก็จัดการให้ผมวิดีโอคอลไปหาพ่อแม่ของผม
ทันทีที่แม่เปิดโทรศัพท์มาเจอหน้าพี่เบิร์ด แม่ผมแทบเป็นลม! พี่เบิร์ดบอกแม่ว่า “แม่ครับ เบิร์ดภูมิใจในตัวท้อฟฟี่มาก แม่เลี้ยงลูกมาดีเหลือเกิน เขาเก่งมาก คำถามเขาดีมาก เบิร์ดอยากให้แม่ภูมิใจในลูกชายของแม่เหมือนที่เบิร์ดภูมิใจครับ” หลังจากนั้น เราก็วิดีโอคอลหาพ่อของผมกัน พอพี่เบิร์ดทราบว่าพ่อชอบเพลง Okay ก็เลยร้องเพลงให้พ่อฟังเดี๋ยวนั้นเลย
ผมเห็นแววตาเปี่ยมสุขของพ่อกับแม่แล้วมีความสุขล้นปรี่อย่างบอกไม่ถูก ถ้าใช้คำศัพท์ภาษาพี่เบิร์ดคงต้องบอกว่า “ดอกไม้มันบานเต็มไปหมด” โมเมนต์ที่พี่เบิร์ดชวนผมวิดีโอคอลหาพ่อแม่เพื่อส่งต่อความสุขไปให้ท่านทำให้ผมรู้ว่า เพราะแบบนี้เขาถึงเป็น ‘พี่เบิร์ด’ ที่ทุกคนรักมาตลอด
“ดอกไม้จะบานเมื่อเราเป็นผู้ให้คนอื่นก่อน” พี่เบิร์ดสอนผมแบบนั้น
ด.ช.ธงไชย – เสียงกีตาร์สายขาด – สลัมแห่งความสุข
ถ้าหลับตานึกถึงภาพตอนพี่เบิร์ดยังเป็น ด.ช.ธงไชย อยู่ พี่เบิร์ดจะนึกถึงภาพอะไรครับ
พี่นึกถึงภาพป๋ากับแม่ร้องเพลงด้วยกัน กีตาร์เก่าๆ ที่สายไม่ครบ แล้วก็บ้านเก่าๆ ในสลัมบางแค บ้านของพี่เอาความรักกับเสียงดนตรีที่ป๋าแต่งเพลงให้แม่ร้องมาคาราเมลชีวิตพวกเราตลอด ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีอะไรข้างหน้ากินเลย แต่ใช้ความรักและความสุขมาคลุกข้าวให้เรากิน รอบบ้านเต็มไปด้วยเสียงคนตีกัน มีกลิ่นน้ำเน่าบ้าง ส้วมแตกบ้าง เวลาปวดท้องเข้าห้องน้ำ ต้องเอากระดาษหนังสือพิมพ์ค่อยๆ สอดตรงที่มันเป็นรูโบ๋ เพราะอีกบ้านชั้นบนมีคนเย็บจักรอยู่ ถ้ามองลงมานี่คือตรงที่พี่นั่งอึเลย มีอยู่ครั้งหนึ่ง เอากระดาษหนังสือพิมพ์ปิดแล้ว ลมพัด! พี่นั่งอึอยู่มองขึ้นไปสบตากับคนบนบ้านเลย Hello?! (หัวเราะ)
ทุกวันนี้สลัมบางแคที่พี่เคยอยู่ไม่มีแล้ว แต่เป็นความทรงจำที่ดีเหลือเกิน
ฟังดูจริงๆ ชีวิตในสลัมน่าจะมีความลำบากและต่างจากชีวิตตอนนี้มาก แต่พี่เบิร์ดเล่าด้วยความสุขมากเลยนะครับ
ใช่ พี่เบิร์ดว่าความจนมันเป็นของจริงนะ มันเป็นภาพแห่งความบริสุทธิ์ที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งสักอย่าง คืออย่างน้อยที่สุดเราก็รู้แล้วว่าจนคืออะไร ยังดีกว่ารู้ว่าเคยรวย (หัวเราะ) เวลาพูดถึงบางแคทีไรนะ มันจะมีความสุข มันเป็นถิ่นกำเนิดของเรา เราอยู่กันแบบ ‘พร้อมในความไม่พร้อม’ วันนั้นไม่มีอะไรเหมือนวันนี้เลย แต่มันมีความพร้อมมากสำหรับความรัก ความอบอุ่นในครอบครัว มันเป็นช่วงเวลาที่การเรียนรู้โดยที่แบบ Learning by doing แบบบวกโดยไม่รู้ตัว ป๋ากับแม่ไม่เคยปริปากพูดเลยว่า เรากำลังอยู่ในที่ที่ไม่ดี เรากำลังอยู่ในสถานะที่ไม่ดี เรากำลังไม่มีความสุขกัน พี่กลับมองว่า ความลำบาก ความเหม็น ความส้วมเต็ม มันเป็นเรื่องสนุกครับ ไม่ใช่ให้เราไปถ่มถุยชีวิต
บางคนเอาความยากลำบากหรือปัญหาในชีวิตเป็นข้ออ้างในการทำไม่ดี เหมือนเป็นเรื่องชอบธรรมว่าฉันเกิดในสภาพแบบนั้น ฉันถึงไม่สามารถพาตัวเองไปสู่สิ่งที่ดีได้ พี่เบิร์ดว่าข้ออ้างนี้มันฟังขึ้นจริงไหมครับ
พี่เบิร์ดไม่อยากทำให้ป๋ากับแม่เสียใจมากไปกว่านี้แล้ว เราต้องไม่ทำให้ป๋ากับแม่เหนื่อย พี่คิดว่ามันอยู่ที่ว่าเราอยู่กับใคร และอยู่ตรงนั้นมีความสุขหรือเปล่า ถ้าเผื่อมันมีความสุขเขาจะไม่เอาตรงนี้มาเป็นข้ออ้างเลย ทุกครั้งเวลาเขาพูดถึงสลัมหรือความยากลำบากใดๆ ในชีวิตมันจะมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่ตรงนี้ตลอด
https://www.youtube.com/watch?v=2sfyL7NKHjQ
มนุษย์ออฟฟิศ – Comfort Zone – โดนไล่ออก
พี่เบิร์ดยังจำสัมภาษณ์งานครั้งแรกได้ไหมครับ
ตอนนั้นพี่เบิร์ดทำงานที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาท่าพระ ตอนนั้นยังไม่รู้หรอกว่าเราชอบหรือไม่ชอบ เห็นเขาสมัครแบงก์กันก็ไปสมัคร แล้วสมัครเนี่ยก็เป็นคนสุดท้ายเพราะแต่งตัวผิดระเบียบ ต้องกลับไปแต่งตัวใหม่ ไปยืมเสื้อที่หอเพื่อน พี่จำได้เลยว่า คนที่สัมภาษณ์เขามองหน้าพี่และบอกว่า ถ้าผมให้เลขคุณ 10 ข้อ คุณทำมาข้อแรกผิด ผมไม่เอาคุณเลยนะ คุณว่าไง พี่เบิร์ดบอกว่า ผมก็ไม่ทำงานกับคุณ เพราะว่าคุณไม่ให้โอกาสคนเลย คุณไม่รู้หรอกว่าข้อ 2 ถึงข้อ 10 อาจจะถูกก็ได้ ถ้าคุณตัดสินอย่างนี้ผมก็ไม่ทำงานกับคุณ ปรากฏว่าพี่ได้ที่ 1 เพราะว่าปากหมา (หัวเราะ)
พี่เบิร์ดเวอร์ชันมนุษย์ออฟฟิศเป็นอย่างไรบ้างครับ
เราเป็นคนที่ใครให้ช่วยงานอะไรก็ทำได้หมด ไม่มีปฏิเสธ สมัยก่อนพี่บวกเลขเก่งมากเลยนะ แล้วงานแบงก์มันเป็นงานที่อยู่กับเงินไง แต่ไม่ใช่เงินเราเลย (หัวเราะ) จำได้ว่าได้เงินเดือน 3,750 บาท มีเงินเดือนออกปั๊บรีบวิ่งไปซื้อเป็ดมาให้แม่ให้พี่น้องเรากิน เราก็ดีใจที่ทุกคนได้กินในสิ่งที่เราอยากให้กิน
ที่แบงก์มันจะมีปุ่มที่กดแล้วไปดังที่สถานีตำรวจเวลาเกิดเหตุร้าย พี่ก็กดเล่น ตำรวจก็มา (หัวเราะ) พี่ต้องหาเรื่องเอ็นเตอร์เทนตัวเอง ทำไปสักพักหนึ่ง ทุกคนรู้ว่าพี่เบิร์ดร้องเพลงได้ เวลามีงานรวมสาขา เราก็ไปเป็นดาวเด่นร้องเพลง เราเป็นตัวแจ๋นของสาขาท่าพระเลยนะ ไอ้นี่แหละไอ้ตัวกดหวอเลยล่ะ (หัวเราะ)
งานธนาคารก็มั่นคง แต่พี่เบิร์ดก็ลาออกมาทำงานเป็นนักร้อง นักแสดง ที่เวลานั้นยังไม่มีความมั่นคงเลย เห็นชีวิตพี่เบิร์ดแล้วนึกถึงคนยุคนี้เหมือนกันที่อยากออกจาก Comfort Zone ไปทำอะไรที่เป็นของตัวเอง อยากรู้ครับว่า พี่เบิร์ดเอาอะไรมามั่นใจในการออกจาก Comfort Zone ในครั้งนั้น
ตอนนั้นพี่เบิร์ดทำทั้งงานธนาคารและถ่ายละคร เราต้องรับผิดชอบงานให้ดีทั้งสองฝั่ง แต่ละวันพี่เบิร์ดต้องทำงานจนดึก เช้ามาทำงานที่แบงก์ ตอนกลางวันก็ปิดส้วมนั่งหลับ มีเพื่อนพนักงานคนหนึ่งชื่อสมชาย ตอนนี้เป็นผู้จัดการแล้ว เป็นคนดูต้นทางให้ คอยปลุกให้พี่ตื่น ชีวิตเป็นอย่างนี้ตลอด มันเลยมีความรู้สึกผิดต่อทั้งงานแบงก์และงานบันเทิง ทุกคนรอเราหมด จึงกลับไปถามแม่ว่าจะออกจากแบงก์ดีไหม แม่บอกว่า ถามป๋าสิลูก แต่ป๋าเสียแล้วนะ พี่เลยใช้วิธีจับฉลากหน้ารูปป๋า พี่บอกพี่น้องทุกคนว่า ห้ามใครค้านด้วยเพราะเบิร์ดถามป๋าแล้ว และก็หยิบออกมา ตึ๊ง! ‘ออกได้เลย’ ทุกคนก็เฮ!
ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าเราจะรอดหรือไม่รอด มันมาจากแรงบันดาลใจที่อยากทำให้ชีวิตของที่บ้านเราดี เราอยากให้แม่ได้อยู่ในที่ดีๆ ฝนตกจะได้ไม่ต้องเปียก น้ำไม่ต้องรั่ว พี่สนุกมากเลยตอนฝนตกพายุเข้า บ้านพี่มันรั่วก้าวเว้นก้าวเลย (หัวเราะ)
ไปแบบไม่รู้เลยว่าจะรอดไม่รอดแบบนี้มันเสี่ยงมากเหมือนกันนะครับ
ใช่ครับ ความไม่มี ความไม่พร้อม ความอยากให้ครอบครัวเรามีชีวิตที่ดีนี่แหละที่กลายเป็นความมั่นใจว่าพี่ต้องไปให้ได้ และบังเอิญได้รู้จักกับพี่น้อย (พรพิชิต พัฒนถาบุตร) พี่น้อยคืออีกหนึ่งฟังก์ชันหรือความมั่นใจของพี่เบิร์ด พี่น้อยบอกว่า “ไปด้วยกัน เบิร์ดไปด้วยกัน เจออะไรก็เจอด้วยกัน” พี่เบิร์ดยังไม่รู้เลยนะว่าออกจากแบงก์ไปแล้วจะเป็นอย่างไร หางเสือเรามีไม่มีไม่รู้ แต่เราพุ่งแล้ว
ตอนแรกคิดว่าชีวิตนี้ร้องเพลงโรงแรมคืนละ 3 ที่ก็หรูแล้ว พี่ก็ฝึกเลยและหวังว่าสักวันจะได้ร้องในโรงแรม ปรากฏว่าพี่ไม่ได้ร้องที่โรงแรม เป็นคาเฟ่ ไปร้องเพลงที่คาเฟ่วันแรกโดนไล่ออกเลย (หัวเราะ)
พี่เบิร์ดเนี่ยนะครับโดนไล่ออก ใครครับช่างกล้า! (หัวเราะ)
ใช่ครับ เราร้องเพลงและได้เปอร์เซ็นต์จากอาหารที่เราเชียร์ พี่เบิร์ดก็เชียร์สุดฤทธิ์ ปรากฏว่าคนหนีกลับกันหมด ไม่มีใครจ่ายค่าอาหาร เราร้องเพลงวันแรกกะจะทำแต้มสักหน่อย โดนไล่ออกเลย (หัวเราะ)
ชีวิตที่ได้แสงแดดและได้ห่าฝนมากกว่าคนอื่น
พอได้มาเป็นดาราจริง มันเหมือนกับที่พี่เบิร์ดคิดไว้ไหมครับ
มันไม่มีภาพของความเป็นดาราอะไรในหัวพี่เบิร์ดเลย ไม่มีเลย เพราะเมื่อก่อนนี้อยู่บางแค จะได้เห็นดาราก็อยู่แต่บนปฏิทินฉีก ทีวีก็ไม่มีดูครับ เพราะฉะนั้นพอมาอยู่แล้วพี่สนุกในการเรียนรู้มากว่าการเป็นนักแสดงที่ดีเขาเป็นอย่างไร เราศึกษาจากคนที่เป็นนักแสดงอยู่ พี่เล่นเรื่องแรกคือ น้ำตาลไหม้ (2526) โอ้โฮ! เจอของจริงหมดเลยครับ คุณลินดา ค้าธัญเจริญ คุณชลิต เฟื่องอารมย์ คุณนพพล โกมารชุน ต่อมาได้เจอคุณภัทราวดี มีชูธน กับพี่เต๋อ-เรวัต พุทธินันทน์ ชีวิตพี่โชคดีมากได้เจอแต่ตัวจริงระดับซังกุงของวงการหมด พี่ก็นั่งสังเกต อะไรคือสิ่งที่ดาราควรทำ อะไรคือวินัย อะไรคือความรับผิดชอบของดารา เราเรียนรู้หมดเลยครับ แล้วก็จะเลือกเอาแต่สิ่งที่ดี อันไหนไม่ดีก็กลัวว่าทำแล้วเดี๋ยวเราจะไม่ได้เป็นดาราก็จะไม่ทำ
แอบถามได้ไหมครับว่า ตอนที่พี่เบิร์ดเข้าวงการใหม่ๆ ตอนที่ยังไม่ดังเลย พี่เบิร์ดเคยเจอการเลือกปฏิบัติจากคนที่ดังกว่าหรือจากคนรอบตัวเพียงเพราะเราไม่ใช่ดาราที่มีชื่อเสียงไหมครับ
พี่ว่าพี่ไม่เคยเห็นเลย อาจจะเป็นเพราะว่าพี่ไม่ได้มองก็ได้ เพราะตอนนั้นพี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วให้ท่องบทอะไรนะ พี่ท่องแหลกเลย ให้พี่ต้องทำอะไร พี่ต้องซ้อม เป็นบ้าอย่างนั้นเลยครับ ฉะนั้น พี่จะสนุกกับเรื่องพวกนี้ แต่เรื่องอื่นๆ นี่พี่ไม่รู้เรื่องเลย แล้วกลับมาบ้านก็จะมานั่งเล่าให้พี่ๆ น้องๆ เราฟังว่าไปเจออะไรบ้าง มันมีความสุขเหมือนดอกไม้บานตลอด
ความรู้สึกของคนที่เป็น Nobody พอเริ่มเป็น Somebody มันรู้สึกอย่างไรครับ
พี่เบิร์ดยังจำวันที่ไปถ่ายมิวสิกวิดีโอ ‘หาดทราย สายลม สองเรา’ ที่เสม็ดได้ พี่นั่งซึ้งตั้งแต่เรือยังไม่ออก คนเต็มลำไปทำเพลงให้พี่คนเดียว เห็นคนหลับเพราะขนของเหนื่อยเพื่อมาทำงานให้เรา วันถ่ายเราว่าตื่นเช้าแล้ว เฮ้ย! มีคนตื่นเช้ามาทำงานก่อนเราอีก มันตื้นตันมากนะครับ อีกเหตุการณ์ที่พี่ไม่มีวันลืมคือ พี่ไปอัดเพลงที่ห้องอัดศรีสยาม ได้ยินพี่เต๋อพูดกับเจ้าของห้องอัดว่า “มันเหลืออีกเพลงเดียว ขอให้ลูกผมอัดเพลงเถอะ” ตั้งแต่นั้นมาพี่เรียกพี่เต๋อว่าพ่อเลย เพราะเขารักเราเป็นลูก
ยิ่งเวลาทำคอนเสิร์ต เห็นฉากหน้าสวยงาม มีพี่ยืนอยู่เท่ๆ อยู่บนพื้นหมุน แต่ข้างล่างเวทีนี่คนงานทั้งร้อน ทั้งเหนื่อย และยังไม่มีโอกาสได้มาเห็นภาพตรงหน้าที่คนดูเขามาให้กำลังใจแบบที่พี่เห็นอีก เพราะฉะนั้น พี่ต้องยืนให้ดี พี่บอกตัวเองพี่ห้ามล้ม ถ้าพี่ล้ม พวกเขาตายเลยนะ
ตลอดชีวิตในวงการบันเทิง พี่เห็นมาตลอดว่า มีคนมากมายทำเพื่อเราคนเดียว มันตื้นตันอย่างบอกไม่ถูกสำหรับคนที่เป็น Nobody มาตลอด พี่เกิดจากความรักของทุกคนที่มีให้ มันเลยเกิดเป็นความซาบซึ้ง ความศรัทธา ความกตัญญู เขาดูแลเรา เราต้องดูแลเขา พี่ไม่เคยลืมเลยว่าใครทำเพื่อเราขนาดนี้
อยากถามคำถามนี้กับหนึ่งในคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทยว่า การมีชื่อเสียงจริงๆ มันเป็นอย่างไรครับ
หลายคนสอนพี่ว่า การมีชื่อเสียงคือการอยู่ในที่โล่ง เบิร์ดอยู่ในที่โล่ง เบิร์ดจะได้รับแดดอ่อนๆ เบิร์ดจะได้ลมที่เย็นๆ เบิร์ดจะได้กลิ่นดอกไม้มากกว่าใคร แต่ในขณะเดียวกันเบิร์ดก็จะได้เจอฝนมากกว่าใคร เบิร์ดก็จะเจอแดดเปรี้ยงมากกว่าใคร มันไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ เพราะฉะนั้น เราต้องมีความรักเป็นอาภรณ์ มันต้องรักงาน ต้องรักให้จริง ต้องรักคนที่เราทำงานด้วย ต้องรักพื้นที่ที่เรายืน ต้องรักคนดู เราต้องมีความรับผิดชอบกับวินัยของเรา เหล่านี้คือปาร์เกต์หรือพื้นฐานให้เราเดินไปสู่ที่มีชื่อเสียง
ลองมาเป็นพี่สัก 3 วันไหม จะได้เรียนรู้ว่าต้องคิดบวกอย่างไรถึงจะทำให้อยู่ได้ หายใจก็ยังต้องทำ อยู่บ้านไม่มีใครเห็นก็ยังต้องทำ พี่ไม่เคยเข้าใจคำว่าชื่อเสียงเลยนะ พี่เข้าใจแค่คำว่ารับผิดชอบ ถ้าให้พี่บอกว่าความรับผิดชอบหรือความมีวินัยคืออะไร พี่แฉได้หมดว่าเราต้องทำอะไรบ้าง
ต้องทำอะไรบ้างครับ
ต้องทำอะไรก็ตามที่แปลว่าดีครับ ดีต่อเรา ดีต่อใครๆ บางอย่างเราไม่อยากทำหรือว่าเกินกำลังเราก็ต้องหัด คิด พูด ทำ ให้ได้ มันไม่ได้วันนี้มันก็ต้องได้วันถัดไป เพราะว่าเราถูกมองอยู่ เราเป็นคนที่ถูกเลือก แต่เราจะเลือกให้เขามองดีหรือเราจะเลือกให้เขามองอย่างไร เราเป็นคนเลือกได้เองครับ
ศัตรู คู่แข่ง ของพี่เบิร์ด
คำถามหนึ่งที่ตอบยากมากเวลาสัมภาษณ์งานคือ จุดด้อยของคุณคืออะไร จุดด้อยของพี่เบิร์ดคืออะไร
จุดด้อยของพี่เบิร์ดก็คือไม่เคยรู้สึกว่าพอสักทีกับการทำงาน กลัวว่าจะให้คนที่เรารักกลับคืนน้อยเกินไป จนกระทั่งพี่เล็ก (บุษบา ดาวเรือง) และทุกคนบอกว่า เบิร์ดพอแล้ว เงินที่ซื้อบัตรมานี่เบิร์ดเล่นแบกตุ่มหนีไฟขนาดนี้ เขากลับได้ตั้งแต่เพลงแรกแล้วนะ (หัวเราะ)
มีผู้บริหารบริษัทที่อยู่อันดับต้นของประเทศเคยบอกว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการที่เราไม่มีคู่แข่ง พี่เบิร์ดเป็นศิลปินที่คนยกย่องให้เป็นอันดับหนึ่งแล้ว คู่แข่งของพี่เบิร์ดคือใครครับ
เมื่อก่อนนี้พี่คิดว่า คู่แข่งของพี่คือตัวพี่เอง เดี๋ยวนี้พี่เพิ่มเข้าไปอีก มันคือ Situation หรือเหตุการณ์ของแต่ละวันมันเป็นคู่แข่งของเราด้วย มันเป็นคู่แข่งที่ไม่ซ้ำหน้าเลยสักวัน สักชั่วโมง สักนาที เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ เราจะต้องทำอย่างไร เราต้องชนะกับเหตุการณ์นั้นให้ได้ บังเอิญโชคดีอีกแล้วที่เราเดินมาไกลแล้ว เราก็รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร
มีไหมครับที่พี่แพ้คู่แข่งคนนี้
มีครับ มีบ่อยเลยครับ แต่ว่าต้องเงยให้ได้ทัน คือเพลี่ยงพล้ำมันได้ เราต้องเผลอกับตัวเราเองนะครับ แต่ต้องกลับมาให้ได้ ต้องไปจี้ทีละจุดว่าเพราะอะไรมันถึงชนะเราได้ ความคิดนี้มาจากไหน โดยเฉพาะความคิดผิดๆ ความคิดว่าจะยอมแพ้ พวกนี้มาจากไหน แล้วก็ไปจี้มันตรงนั้น แก้ตรงนั้น
ที่ผ่านมา หลายครั้งเห็นคนวิจารณ์กันว่าหมดยุคของพี่เบิร์ดแล้ว คนนั้นคนนี้จะมาแทนพี่เบิร์ด แต่…Hello? พี่เบิร์ดยังอยู่ และอยู่ดีมากด้วย พี่เบิร์ด Survive ท่ามกลางเสียงวิจารณ์หรือคนที่คิดร้ายได้อย่างไรครับ
เออนั่นสิ…Hello? I’m here! (หัวเราะ) อย่างแรกเลยคือพี่เบิร์ดเป็นคนอดทน เพราะว่าสลัมบางแคสอนพี่เบิร์ดให้เข้าใจและอดทนได้โดยอัตโนมัติ เราอยู่ในที่ที่ Under Zero สลัมแล้ว จนสุดแล้ว ไม่มีอะไรจะกินแล้ว ไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้แล้ว ฉะนั้น เวลาเจอเรื่องไม่ดี พี่จะถามตัวเองว่าอันนี้เขาเรียกว่าแย่แล้วหรือยัง พี่ว่าพี่โดนมาเยอะนะครับ แล้วก็เห็นใจคนที่ต้องเขียน หรือต้องพูดถึงพี่แบบนั้น พี่ก็ไปเจอเลย มาคุยกับพี่หน่อยซิ มันอย่างไรกัน เกลียดพี่เหรอ
เดี๋ยวๆๆ พี่เบิร์ดไปเผชิญหน้าคนที่เขาเขียนถึงพี่ในทางที่ไม่ดีเลยเหรอครับ พี่เบิร์ดพูดกับเขาว่าอะไร
ใช่ พี่ก็พูดกับเขาดีๆ ว่า ไม่เป็นไรนะ อย่าทำอะไรให้ตัวเรา คนที่รักเรา หรือพ่อแม่เรารู้สึกไม่ดีเลย ถ้าคิดว่าจะทำอย่างนี้ อย่าทำ มันไม่ใช่เรื่องจริง น้องเขาก็บอกว่าถูกสั่งให้ขายข่าวแบบลบๆ พี่ก็บอกว่า แต่เราอย่าทำนะ เพราะมันทำลายตัวน้องเองด้วย ก็คุยกับน้อง เขาก็ร้องไห้ พี่เบิร์ดก็กอดเขาเลย สงสารว่าทำไมต้องเขียนอะไรอย่างนี้
โดนขนาดนี้พี่เบิร์ดไม่มีมุมโกรธอยากกรีดรถเขาบ้างเหรอครับ (หัวเราะ)
มีๆ ก่อนหน้านี้ แต่พอเราได้คุยกับเขา พ่อแม่เสียใจนะลูก ไม่ดีนะ ไม่เอา พี่ไม่โกรธ ก็กอด น้องเขาก็ร้องไห้ ไม่เอาแล้ว ไม่ทำแล้ว พี่ว่าเรื่องอย่างนี้มันต้องมีความรักเป็นเกณฑ์หมดเลย เขาลบอยู่เราก็เอาไปขีดให้เขากลายเป็นบวก เห็นไหม ท่าไม้ตายของพี่เบิร์ดคือเข้าใจเขา ให้อภัย ถ้าพี่โกรธใครเนี่ยซวยจริงๆ เลยนะ ถ้ามีเรื่องกันก็ไม่ต้องมามีเรื่องกับพี่ คุณไม่สามารถทำให้พี่โกรธได้เลย เพราะพี่จะไม่ยอมโกรธใคร พี่จะให้อภัย แต่ว่าพี่ต้องเจาะเข้าไปก่อนว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น ท่าไม้ตายของพี่คือแค่นั้น กับท่าไม้ตายในงานก็คือ Believe พี่เชื่อว่ามันต้องเป็นได้ พี่เชื่อว่ามันต้องเกิดให้ได้ พี่เชื่อว่ามันต้องสำเร็จ พี่เชื่อว่าเราทำด้วยความรัก พี่เชื่อว่าคนดูต้องมีความสุข แค่นั้นเลย
พี่เบิร์ดถึงพี่เบิร์ด
ตอนแรกจะถามพี่เบิร์ดเหมือนกันว่า ถ้าพี่เบิร์ดสามารถใช้ชีวิตแบบที่ไม่เป็น เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ สักวันหนึ่งได้ พี่เบิร์ดจะทำอะไร แต่ฟังมาทั้งหมดคิดว่าพี่เบิร์ดคงไม่อยากเป็นอะไรอื่นนอกจากพี่เบิร์ดตอนนี้
พี่เบิร์ดไม่ยอมไปเป็นอย่างอื่นอีกแล้ว ฤาษีชีไพรอะไรต่างๆ ก็ไม่เอา นักธุรกิจก็ไม่เป็น พี่ขอเป็นเบิร์ดนี่แหละ เพราะว่ามันมีความเข้าใจอะไรมนุษย์สูง เรามองเห็นโลกที่ดอกไม้บานได้ตลอด มันมีโนว์ฮาวอะไรบางอย่างที่คนชื่ออื่นไม่ได้ พี่เคยนั่งคิดระหว่างที่พี่นั่งเครื่องไปสวิตเซอร์แลนด์ว่า พี่ก็เป็นลูกแม่อุดมคนธรรมดา แต่ได้รับความเมตตาตั้งแต่พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ นายกรัฐมนตรี ยัน รปภ. หรือล่างลงไปกว่านั้น ทุกคนเมตตาเราหมด สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราทำมันก็ชิ่งกลับมาหา แม่คงภูมิใจ ป๋าคงดีใจ พี่เต๋อก็เหมือนกัน ป่านนี้เขาคงคุยกันอยู่บนสวรรค์แล้วล่ะ แต่ทุกคนต้องแพ้แม่พี่น้อย เพราะแม่พี่น้อยคุยเก่งมาก
พี่มีอะไรอยากบอกกับเบิร์ด ธงไชย บ้างครับ
พี่ก็จะบอกเขาว่า ทุกวันที่พี่บอกว่า เอาให้รอดนะในทุกๆ เรื่อง เราไม่ได้เก่งทุกเรื่อง เราไม่ได้ชนะทุกสนาม เอาให้รอด จะบอกอีกอย่างคืออย่าเลิกร้องเพลง อย่าเลิกให้ เพราะว่านั่นคือความสุข ในเมื่อพี่อยู่กับความสุขแล้ว เรื่องอะไรเราจะทิ้ง เราจะอยู่กับความสุขตรงนี้แหละ ดอกไม้มันบานแล้ว ความสุขของพี่คือการให้ ร้องเพลงให้คนยิ้ม พูดให้คนยิ้ม
ก็เหมือนที่น้องกำลังยิ้มๆ กันอยู่นี่แหละครับ