Supreme แบรนด์สตรีทแวร์ชื่อดังจากนิวยอร์ก อาจกำลังเผชิญกับ ‘ความเจ๋ง’ ที่ลดลง ตามคำกล่าวของนักสะสมและผู้ค้าปลีกบางราย
แบรนด์ที่ครั้งหนึ่งแทบจะเป็นตำนานของวงการสตรีทแวร์ เพราะมีผู้คนแย่งชิงสินค้า ทำอะไรก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่ปัจจุบันกำลังผ่านช่วงเวลาที่ผลิตภัณฑ์ขายออกไม่เร็วอย่างที่เคยเป็น ซึ่งบ่งบอกถึงความน่าสนใจที่ลดลง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- 7 Things We Love About Supreme แบรนด์สตรีทแวร์มูลค่า 2.1 พันล้านดอลลาร์ที่ปฏิวัติวงการแฟชั่น
- ‘บิ๊กดีล’ แห่งวงการสตรีทแฟชั่น VF Corp เจ้าของแบรนด์ Vans และ Timberland ทุ่ม 6.4 หมื่นล้านบาท เข้าซื้อ Supreme
- Supreme ชนะคดีในประเทศจีน หลังถูกแบรนด์ Supreme Italia ลอกเลียนเครื่องหมายการค้า
Supreme ก่อตั้งในปี 1994 โดย James Jebbia เป็นร้านสเกตเล็กๆ ในย่าน Soho ของนิวยอร์ก Supreme ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว แบรนด์นี้มีชื่อเสียงในด้านแม่เหล็กดึงดูดนักสเกต
เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์นี้ ลองย้อนกลับไปดูการเดินทางของ Supreme กัน แบรนด์ก่อตั้งขึ้นในปี 1994 โดย James Jebbia เป็นร้านสเกตเล็กๆ ในย่าน Soho ของนิวยอร์ก ภายในหนึ่งปีแบรนด์นี้มีชื่อเสียงในด้านแม่เหล็กดึงดูดนักสเกตและนิตยสาร Vogue ถึงกับเปรียบเทียบแรงดึงดูดกับเสน่ห์ของ CHANEL เลยทีเดียว
เมื่อแบรนด์เติบโตขึ้น ชื่อเสียงและอิทธิพลของแบรนด์ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย Supreme มีชื่อเสียงในด้านกลยุทธ์การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งเรียกว่า ‘Drop Day’ หรือวันวางจำหน่าย
เวลาเหล่านี้เป็นเวลาเฉพาะ โดยปกติจะเป็นวันพฤหัสบดี เวลา 11.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ผลิตภัณฑ์ใหม่เปิดตัวบนเว็บไซต์ ความต้องการสูงมากจนสินค้าเหล่านี้ขายหมดภายในไม่กี่วินาที ทำให้การได้มาสักชิ้น เรียกว่านอกจากมีเงินแล้วต้องดวงดีด้วย
อย่างเช่น ซื้อเสื้อยืดราคา 40 ดอลลาร์ หรือราว 1,400 บาท จะต้องป้อนรายละเอียดบัตรเครดิตของคุณด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ เหล่านี้ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับ Supreme ในฐานะแบรนด์แห่งความพิเศษและน่าปรารถนา
ทว่าภูมิทัศน์ดูเหมือนจะเปลี่ยนไป เมื่อเร็วๆ นี้ สินค้าของ Supreme จำนวนมากยังคงมีให้ซื้อหลังจากวันวางจำหน่าย ตัวอย่างเช่น สินค้า 53 รายการ จาก 55 รายการ ยังคงอยู่ในสต๊อกในวันต่อมา ทำให้บางคนถึงกับเสนอว่าแบรนด์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้อยู่เบื้องหลังสินค้าขายดีกำลังหมด ‘มนตร์เสน่ห์’
ความต้องการที่ลดลงนี้ส่งผลกระทบต่อตลาดขายต่อของ Supreme ก่อนหน้านี้ ความขาดแคลนและการโฆษณาเกินจริงของ Supreme ทำให้สินค้าสามารถขายต่อได้หลายเท่าของราคาเดิม ตอนนี้ความสามารถในการทำกำไรจากการขายต่อดูเหมือนจะลดลง
ความเท่ที่ลดลงนี้มาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นตลาดสตรีทแวร์เองมีการแข่งขันสูงขึ้นมาก ตัวอย่างเช่น ในปี 2020 มีแบรนด์เพียง 122 แบรนด์ แต่ตอนนี้ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าเป็น 260 แบรนด์
นอกจากนี้ แบรนด์แฟชั่นชั้นสูงแบบดั้งเดิม เช่น Louis Vuitton และ Gucci ก็เริ่มเข้าสู่ตลาดสตรีทแวร์เช่นกัน และทำให้เส้นแบ่งระหว่างความหรูหราและแฟชั่นแนวสตรีทจางลง
อีกปัจจัยหนึ่งอาจมาจากการเข้าซื้อกิจการของ Supreme โดย VF ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Vans และ Timberland ในปี 2020 การเปลี่ยนแปลงนี้นำไปสู่การเปิดสาขาของ Supreme มากขึ้นและขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ แม้ว่าสิ่งนี้จะเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงของแบรนด์ แต่นักวิจารณ์บางคนแย้งว่าสิ่งนี้ได้ลดทอนความดึงดูดเฉพาะตัวของแบรนด์ไป
แม้จะมีอุปสรรคเหล่านี้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า Supreme ยังคงยิ่งใหญ่ในโลกของสตรีทแวร์ โดยมีฐานลูกค้าที่ยังคงซื้อและชื่นชมเสื้อผ้าที่ติดแบรนด์ Supreme
ขณะเดียวกันในตลาดที่มีผู้คนหนาแน่นและมีการแข่งขันสูง และแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่บีบให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น อนาคตของ Supreme อาจขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวและเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ ซึ่งตอนนี้ Supreme ที่ครั้งหนึ่งเคยขับเคลื่อนกระแสนี้ กำลังเผชิญกับความท้าทายในการตามให้ทัน
ภาพ: Edward Berthelot / Getty Images
อ้างอิง: