วานนี้ (12 กันยายน) กลุ่มดุสิตธานี ได้มีการแถลงข่าว ‘ทิศทางการบริหารงานของกลุ่มดุสิตธานีจากความสำเร็จในปัจจุบัน สู่การสร้างสรรค์บทใหม่’ กับสื่อมวลชน
หลังจากในวันเดียวกัน ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประกาศลาออกโดยให้มีผลทันทีเพื่อเตรียมตัวไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งได้ส่งไม้ต่อให้กับ ชนินทธ์ โทณวณิก กลับมารับตำแหน่งซีอีโอเป็นครั้งที่สอง
ศุภจี สุธรรมพันธุ์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มและกรรมการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT ตัดสินใจก้าวเข้าสู่สนามการเมืองเพื่อรับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตามคำทาบทามของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2568 พร้อมมั่นใจว่าการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของกลุ่มดุสิตธานี
การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการเกษียณก่อนกำหนด หลังจากที่ ศุภจี ได้เข้ามาร่วมงานกับดุสิตธานีในฐานะกรรมการ(บอร์ด) ตั้งแต่ปี 2015 และรับตำแหน่งซีอีโอในปี 2016 โดยตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา เธอได้วางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบใน 3 ช่วง คือ
- 3 ปีแรก สร้างรากฐาน (Foundation) ใหม่ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
- 3 ปีถัดมา สร้างเครื่องยนต์แห่งการเติบโตใหม่ (New Engine) เพื่อเพิ่มรายได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือโครงการสำคัญอย่าง ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ( Dusit Central Park )
- 3 ปีสุดท้าย เป็นช่วงที่องค์กรพร้อมจะทะยานขึ้นสู่บทใหม่ของการเติบโตเต็มที่ (Take Off) และเป็น New Chapter ของดุสิตธานี
อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานในช่วงกลางต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 ทำให้การเติบโตเป็นไปอย่างช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้. ศุภจี ยืนยันว่ารายได้ในปีที่ผ่านมาเป็นสถิติใหม่ที่ไม่เคยทำได้ถึงระดับหมื่นล้านบาทมาก่อน และจากนี้รายได้จะอยู่ในระดับนี้ต่อไป แม้ว่าบริษัทยังคงมีผลขาดทุนอยู่บ้าง ซึ่งเป็นผลมาจากการกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ในช่วงวิกฤต แต่เธอมั่นใจว่าเมื่อการโอนกรรมสิทธิ์ของ Dusit Residences มูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาทแล้วเสร็จ หนี้สินและภาระดอกเบี้ยก็จะหมดไป ทำให้บริษัทสามารถกลับมาทำกำไรได้ในปีหน้าตามที่ได้วางแผนไว้
เปิดเหตุผล 2 ข้อ ตัดสินใจสู่เก้าอี้ รมว. พาณิชย์
ศุภจี ยังเปิดเผยเหตุผลสำคัญที่ตัดสินใจรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไว้ 2 หลัก โดยใช้ระยะเวลาตัดสินใจเพียง 30 นาที ซึ่งเป็นกรอบเวลาที่ นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งมาทาบทามกำหนดกรอบเวลาไว้เพื่อขอคำตอบ
เหตุผลที่ 1. มองว่าประเทศกำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน
เห็นว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหลากหลายทั้งจากภายในและภายนอก ซึ่งต้องการผู้ที่มีประสบการณ์เข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระและสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับประเทศ เธอเน้นย้ำถึงประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากการทำงานในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งในบริษัทข้ามชาติอย่างกลุ่ม IBM ในสหรัฐฯ และธุรกิจที่เน้นการค้าระหว่างประเทศอย่าง บมจ. ไทยคม
รวมถึงการเป็นกรรมการในสถาบันการเงินและบริษัทผู้ผลิต จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในด้านการค้าระหว่างประเทศ โดยมองว่าการลดค่าใช้จ่ายเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องสร้างรายได้ควบคู่ไปด้วย โดยจะเน้นการเปิดตลาดต่างประเทศและเสริมศักยภาพการแข่งขันในประเทศ
เหตุผลที่ 2 เป็นภารกิจระยะสั้นที่โฟกัสงานได้เต็มที่
เหตุผลสำคัญอีกประการคือ ระยะเวลาการทำงานที่สั้น เนื่องจากเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ มีอายุเพียง 4 เดือน และจะมีการยุบสภาเพื่อเตรียมการเลือกตั้งใหม่ ทำให้ระยะเวลาการทำงานรวมอยู่ที่ประมาณ 7-8 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่นาน ทำให้สามารถมุ่งเน้นการทำงานเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้เกิดขึ้นได้อย่างเต็มที่
เมื่อถูกถามถึงความกังวลในการทำงานกับระบบราชการที่แตกต่างจากการทำงานในภาคเอกชน ศุภจีตอบว่า เธอไม่ได้กังวลแต่กลับมองว่าเป็นแรงผลักดันและเป็นความท้าทายที่ต้องทำให้สำเร็จ และแม้จะไม่เคยทำงานในระบบราชการโดยตรง แต่ก็เคยมีโอกาสสัมผัสกับการทำงานในคณะกรรมการระดับชาติหลายชุด
ดังนั้นพร้อมที่จะปรับตัวและทำงานร่วมกับข้าราชการอย่างเปิดใจ เพื่อแก้ไขปัญหาและขับเคลื่อนนโยบายที่จำเป็นเร่งด่วน โดยจะเน้นการทำงานร่วมกับทุกฝ่าย ทั้งทีมเศรษฐกิจและกระทรวงอื่นๆ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายร่วมกันได้โดยเร็วที่สุด โดยเธอกล่าวว่า ‘เราทำ 100% ในสิ่งที่เรามี’ ไม่ต้องรอให้รู้ 100% แล้วค่อยทำ
นอกจากนี้ ศุภจียังกล่าวด้วยว่าในฐานะอดีตผู้บริหาร เชื่อมั่นในตัว ชนินทธ์ ซีอีโอคนใหม่ของดุสิตธานี: ซึ่งมีความสามารถและมีประสบการณ์การทำงานมายาวนานว่าจะสามารถสานต่อภารกิจและนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จตามที่วางรากฐานไว้ได้อย่างแน่นอน เพราะชนินทธ์ไม่ใช่คนใหม่สำหรับดุสิตธานีและมีประสบการณ์
ดุสิตธานี พร่้อมเดินหน้าต่อกับความท้าทายที่รออยู่
ชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ ดุสิตธานี หรือ DUSIT กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบริษัท หลัง ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ขอลาออกจากตำแหน่งเพื่อเข้ารับหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชนินทธ์ยืนยันว่าการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับดุสิตธานี ซึ่งยึดมั่นในหลักการช่วยเหลือสังคมและประเทศชาติมาโดยตลอด เหมือนที่คุณหญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้ก่อตั้งได้วางรากฐานไว้ และเขาก็เชื่อมั่นว่าพนักงานทุกคนจะยังคงสานต่อเจตนารมณ์นี้
‘ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค’ โครงการยักษ์ใหญ่ที่เปลี่ยนเกมธุรกิจ ‘ดุสิตธานี’
ชนินทธ์ ชี้แจงสถานการณ์ทางการเงินของบริษัทที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าขาดทุนสะสมกว่า 1,000 ล้านบาท และไม่จ่ายปันผลมา 5 ปี โดยระบุว่าทั้งหมดเป็นผลมาจากการลงทุนในโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค มูลค่า 46,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นทุกคน โครงการนี้มีความจำเป็นต้องเกิดขึ้นเพื่อปรับเปลี่ยนโรงแรมดุสิตธานีเดิมที่มีอายุ 56 ปี ให้กลายเป็นตำนานบทใหม่
การก่อสร้างต้องเผชิญกับอุปสรรคจากวิกฤตโควิด-19 ทำให้โครงการล่าช้าไป 2 ปี อย่างไรก็ตาม ดุสิตธานียังคงรักษาความเชื่อมั่นจากลูกค้าได้ดี โดยเฉพาะการขายโครงการที่พักอาศัยระดับลักชัวรีอย่าง Dusit Residences และ Dusit Parkside ซึ่งเป็นโครงการเดียวที่สามารถขายได้ในช่วงโควิด-19 และปัจจุบันขายไปแล้วกว่า 90%
โดยรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมกว่า 17,000 ล้านบาท จะเริ่มรับรู้รายได้ส่วนใหญ่ในปีหน้าประมาณ 16,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยพลิกฟื้นสถานะทางการเงินของบริษัท ทำให้หนี้สินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานปี 2569 กลับมามีกำไรและสามารถล้างผลสะสมที่มีได้ทั้งหมด
‘ดุสิตธานี’ ให้ความสำคัญสร้างบุคลากรให้ประเทศ
ชนินทธ์ย้ำว่า ดุสิตธานีให้ความสำคัญกับการสร้างบุคลากรให้กับประเทศ ซึ่งเป็นปรัชญาที่คุณหญิงชนัตถ์ปลูกฝังมาตลอด ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานประจำเกือบ 20,000 คน และพร้อมสนับสนุนหากบุคลากรมีโอกาสก้าวหน้าในตำแหน่งที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในองค์กรหรือแม้กระทั่งการไปรับใช้ชาติ
นอกจากนี้ โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ยังถูกออกแบบให้มีพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ เพื่อมอบเป็นสาธารณประโยชน์ให้แก่คนกรุงเทพฯ และนักท่องเที่ยว ซึ่งสะท้อนถึงเจตนารมณ์ของบริษัทที่ต้องการทำประโยชน์ให้กับสังคม
พร้อมรับ ‘ศุภจี’ กลับมานั่งซีอีโอ ‘ดุสิตธานี’ หลังเสร็จภารกิจเสร็จ
ชนินทธ์ กล่าวต่อว่า งานหนักที่สุดของดุสิตธานีที่ ศุภจี ได้เข้ามาช่วยนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว และเชื่อว่าภารกิจที่ท้าทายกว่าในตอนนี้คือการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาตัดสินใจอนุญาตให้ ศุภจี ไปทำหน้าที่รัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม เขาได้กล่าวทิ้งท้ายด้วยคำสัญญาที่ ศุภจี ให้ไว้ว่า เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจรับใช้ชาติในตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว ศุภจี จะกลับมาที่ดุสิตธานี โดยจะรอให้ศุภจี กลับมารับตำแหน่งดุสิตธานี เมื่อภารกิจจบลง ซึ่งชนินทธ์ยังระบุต่อว่าในช่วงระหว่างที่ ศุภจี ไปช่วยงานประเทศทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์นั้น ตนเองจะทำหน้าที่รักษาซีอีโอ ดุสิตธานี เพื่อ ศุภจี กลับมา
ชนินทธ์ มั่นใจปมขัดแย้งในครอบครัวจบลงด้วยดี
เมื่อผู้สื่อข่าวได้สอบถาม ชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มฯ ถึงความคืบหน้าเรื่องความขัดแย้งของธุรกิจภายในครอบครัวโทณวณิก
โดยชนินทธ์ ระบุว่า คิดว่าปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในครอบครัวก่อนหน้าจะจบลงได้ด้วยดี และมีความมั่นใจว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในบริษัทฯ ได้ ซึ่งที่ผ่านมาความพยายามเจรจาอย่างต่อเนื่องในครอบครัวเพื่อยุติปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่ขอเปิดเผยให้ข้อมูลหรือให้ความเห็นในขณะนี้ โดยขอให้รอผลสรุปความชัดเจนในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 กันยายนนี้
ทั้งชนินทธ์และศุภจีระบุตรงกันว่า เป้าหมายหลักของงานแถลงข่าวนี้ คือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในเรื่อง ‘ความต่อเนื่องของธุรกิจ’ และการส่งไม้ต่อตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารจากศุภจี ไปยังชนินทธ์ ซึ่งมีความสามารถและเป็นผู้ที่สามารถสานต่อรากฐานทางธุรกิจที่วางไว้ได้อย่างไม่มีสะดุด
พร้อมย้ำว่าในปีหน้าผลประกอบการของกลุ่มดุสิตธานีมีแนวโน้มที่จะดีขึ้น และมีโอกาสจะพลิกกลับมามีกำไรได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินงานทางธุรกิจตามปกติ และการรับรู้รายได้จากการโอนโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง