ถึงจะล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วน แต่วินิซิอุส จูเนียร์ จรวดทางเรียบชาวบราซิลผู้เคยเป็นตัวแสบของลิเวอร์พูลในเกมนัดชิงแชมเปียนส์ ลีกในปี 2022 ยังอยากจะพยายามอีกสักครั้ง
ความหวังของเขาอยู่กับเดิมพันว่าหากเขาผ่านด่านนี้ไปได้ ขออีกแค่ครั้งเดียว นั่นอาจหมายถึงการพลิกเกมกลับมาของเรอัล มาดริดได้เลย
ปัญหาคือเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำแบบนั้น!
แม้จะเป็นช่วงท้ายเกมที่เรี่ยวแรงควรจะอ่อนลงไปมากแล้ว แต่ดูเหมือนคอเนอร์ แบรดลีย์จะยังไหวสบายๆ ในการรับมือกับหนึ่งในปีกซ้ายที่ดีที่สุดของโลก และสุดท้ายเขาก็จัดการเก็บคู่แข่งใส่กระเป๋าได้เหมือนตลอดทั้งเกมที่ผ่านมา ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะเฉือนเรอัล มาดริดได้ 1-0
การเล่นของเขาเรียกเสียงโห่ร้องด้วยความสะใจของกองเชียร์เดอะ ค็อปได้ดังสนั่น ซึ่งมันเป็นเสียงและความรู้สึกที่ตรงกันข้ามกับทุกจังหวะที่เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ได้สัมผัสบอลในสนามในสีเสื้อขาวของทีม Los Merengues
ระหว่างทั้งสองจึงเป็นกระจกสะท้อนของกันและกัน
ในเรื่องราวของเมื่อวาน วันนี้ และวันพรุ่งนี้

ซูเปอร์แบรดลีย์!
ดูเหมือนนักเตะจากหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในไอร์แลนด์จะชื่นชอบการลงสนามกับเรอัล มาดริดเป็นพิเศษ
เมื่อปีกลาย แบรดลีย์ สร้างชื่อเสียงกระหึ่มกับจังหวะการเข้าเสียบสกัดใส่คีลิยัน เอ็มบัปเป หนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดของโลกจนกลิ้งเป็นลูกขนุน ภาพการเข้าแท็กเกิลจังหวะนี้เป็นหนึ่งในภาพจำของฤดูกาลที่แล้วสำหรับลิเวอร์พูล
มาถึงฤดูกาลนี้ ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาในเรื่องของสภาพความฟิตตั้งแต่เปิดฤดูกาล แต่เมื่อถึงคราวต้องลงสนามในเกมสำคัญ แบ็กคนหนุ่มวัย 22 ปี พิสูจน์คุณค่าและความสามารถของตัวเองให้เห็นอีกครั้งในการเจอกับเรอัล มาดริด ที่กำลังร้อนแรง
ตลอดทั้ง 90 นาที แบรดลีย์ไล่เก็บกวาดเกมรับทางฝั่งขวาของลิเวอร์พูลได้อย่างสะอาดหมดจด โดยเฉพาะการรับมือกับวินิซิอุส จูเนียร์ ปีกซ้ายที่เคยเป็นของแสลงของทีมมาโดยตลอด
นอกจากจะชิงบอลได้เกือบทุกจังหวะ ยังเลี้ยงบอลฝ่าปีกสตาร์บราซิลเอาดื้อๆ ไปจนถึงอีกหลายจังหวะที่เติมเกมรุกได้สวยงาม และความนิ่งในการครองบอลในระดับไม่ธรรมดาที่ช่วยแก้ไขสถานการณ์และคลายความกดดันให้ทีมได้
ในฤดูกาลที่ 3 ที่เขาลงสนามในสีเสื้อแดงเพลิง นี่คือเกมที่ดีที่สุดในชีวิตจนถึงตอนนี้ของแบรดลีย์อย่างไม่ต้องสงสัย
ที่สำคัญคือเขาได้รับการประทับตราจากหัวใจของแฟนๆ
นี่แหละคือฮีโร่ตัวจริงคนใหม่ของเรา

แก้ปัญหาใหม่ด้วยวิธีเดิม
ความจริงแล้วหนึ่งในจุดที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ โดยเฉพาะช่วงวิกฤตที่ผ่านมาคือตำแหน่ง ‘แบ็กขวา’ ที่หาคำตอบไม่เจอ
การจากไปของเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทิ้งช่องโหว่ระดับมหึมาเอาไว้ไม่ใช่แค่ในความรู้สึกแต่เป็นในเชิงของแท็กติกการเล่นด้วย เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาแบ็กขวาสเกาเซอร์เป็น ‘ครีเอเตอร์’ คนสำคัญของทีม
เทรนต์ทำได้ทุกอย่างในการสร้างสรรค์ไม่ว่าจะเป็นการวางบอลยาวที่แม่นในระดับเท้าชั่งทอง ลูกยิงไกลที่มหัศจรรย์ ไปจนถึงการเปิดบอลขนานเส้นให้โม ซาลาห์ จู่โจมอย่างรวดเร็วทางฝั่งขวา
ตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา อาร์เนอ สลอต พยายามค้นหาคำตอบว่าจะทำอย่างไรถึงจะทดแทนสิ่งที่ขาดหายไปได้ ด้วยการใช้ทั้งเจเรมี ฟริมปง แบ็กขวาตัวใหม่ที่ซื้อมาจากไบเออร์ เลเวอร์คูเซน เพื่อหวังทดแทนเทรนต์และชิงตำแหน่งกับแบรดลีย์ ที่เป็นนักเตะชุดเดิม
ไปจนถึงการลองเอาโดมินิก โซโบสไล มิดฟิลด์ห้องเครื่องมาประจำการ ซึ่งก็ได้ผลดีประมาณหนึ่ง แต่ทำไปทำมาลิเวอร์พูลก็ยังแก้ปัญหานี้ไม่ได้สักที และกลายเป็นหนึ่งในจุดอ่อนที่ใหญ่และเห็นได้ชัดจนโดนคู่แข่งเล่นงานในพื้นที่ริมเส้นเสมอ
อย่างไรก็ดี สลอตได้ค้นพบคำตอบว่าคนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้ในเวลานี้ก็คือคนเดิม
แบรดลีย์ ที่ประสบปัญหาสภาพร่างกายไม่ฟิตมาตลอดก่อนหน้านี้ ยกระดับการเล่นของตัวเองอย่างชัดเจนใน 2 นัดหลังสุดกับวิลลาและมาดริด แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง ใจสู้ บู๊ไม่ถอย และการหาจังหวะสร้างเกมรุก แม้แต่การวางบอลยาวในระยะ 70-80 หลาก็มีให้เห็น
ผลงานนั้นดีพอที่จะทำให้ทุกคนมั่นใจว่าเขาควรยึดตัวจริงของลิเวอร์พูลได้ทันที โดยที่เป็นเรื่องของฟริมปงที่จะต้องพยายามหาทางช่วงชิงตำแหน่งกันเอง
พิธีต้อนรับที่แสนเจ็บปวด
เสียงปรบมือกึกก้องของเดอะ ค็อปทั้งสนามที่มีให้แก่ ‘There’s Only One Bradley’ นั้นช่างแตกต่างจากการต้อนรับของพวกเขาที่มีต่อคนเคยรักกันอย่างเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
ถึงแม้จะเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของทีมตั้งแต่ยุคของเจอร์เกน คล็อปป์ ผ่านมาถึงยุคของสลอต ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ 2 สมัย แชมเปียนส์ ลีกอีก 1 สมัย และแชมป์อื่นๆ ครบเซ็ตของโลกใบนี้ แต่สิ่งที่เทรนต์ได้รับจากแฟนฟุตบอลคือเสียงโห่ที่ดังสนั่น

เสียงนั้นดังกระหึ่มตั้งแต่ในช่วงของการอบอุ่นร่างกาย ช่วงของการประกาศรายชื่อ และช่วง 10 นาทีสุดท้ายของเกมที่ชาบี อลอนโซ นายใหญ่อดีตขวัญใจเดอะ ค็อปอีกคนตัดสินใจที่จะส่งแบ็กขวาทีมชาติอังกฤษลงสนาม
โดยไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสีหน้าและแววตาของเทรนต์เจ็บปวด
เจ็บยิ่งกว่าข่าวภาพวาดบนผนัง (Mural) ของเขาถูกสาดสีและเขียนข้อความประณามการตัดสินใจทิ้งทีมไปโดยไม่ให้ทีมได้อะไรกลับมาว่า ‘Rat’ ซึ่งในเวลาต่อมามีคนไปช่วยทำความสะอาดฟื้นฟูภาพให้
เพราะนี่คือความรู้สึกจริงๆ ของเดอะ ค็อปที่อยากบอกให้เขารู้ และสำหรับเทรนต์มันอาจจะยากเกินใจจะรับไหวในตอนนี้
ตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในสนามแอนฟิลด์ในฐานะของคู่แข่ง เขาแทบไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน การเปิดบอลที่เคยเป็นจุดเด่น 2 ครั้งก็ห่างไกลจากเป้าหมายมาก จืดจาง และยิ่งเล่นไม่ออกเท่าไรก็ยิ่งหมายถึงความสุขของคนเคยรักมากขึ้นเท่านั้น
แม้กระทั่งเวอร์จีล ฟาน ไดค์ ที่เคยเป็น ‘ลูกพี่’ เองก็ไม่ได้คิดที่จะพูดคุยถามไถ่อะไรกันอีก
“ไม่” ฟาน ไดค์ เมื่อถูกถามว่ามีการพูดคุยหรือเจอกับเทรนต์หลังเกมบ้างไหม
เจ็บจริงอะไรจริง

ไม่หันกลับไป
หลังสุดหลังจากแพ้ 6 ใน 7 นัดก่อนหน้านี้ นอกจากการค้นพบ ‘ตัวจริง’ ในตำแหน่งแบ็กขวาแล้ว นายใหญ่ชาวดัตช์ยังค้นพบคำตอบที่สำคัญในวันที่ยังไม่สายเกินไป
นั่นคือการที่เขาอาจจะต้องเลิกคิดเยอะ (Overthink) และหันกลับมาใช้ระบบการเล่นแบบเก่า ผู้เล่นเดิมที่เคยใช้และได้ผลดีมาก่อน
แกนหลักชุดเดิมอย่างโซโบสไล, อเล็กซิส แม็คคัลลิสเตอร์, ไรอัน คราเฟนแบร์ก, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน รวมถึงแบรดลีย์ได้กลับมาเล่นในตำแหน่งและแท็กติกที่ถนัดอีกครั้ง ซึ่งมันไม่ได้หมายถึงแค่การหมุนเวียนผู้เล่นตามตำแหน่ง
แต่มันหมายถึงการกดปุ่ม Reset ให้ทีมกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ในระบบการเล่นเดิมที่คุ้นเคยและทำได้ดี
จากชัยชนะ 2-0 ในเกมกับวิลลา ลิเวอร์พูลเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้งในเกมกับมาดริดและเก็บคลีนชีตได้เป็นเกมที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเกมรับที่มีมาตลอดได้รับการแก้ไขอย่างถูกวิธี
อย่างไรก็ดีการวนกลับไปที่เดิมไม่ได้แปลว่าเหมือนเดิมหมด
ผู้เล่นอย่างโซโบสไลในวันนี้พัฒนาตัวเองขึ้นมาอีกและดูเหมาะสมคู่ควรกับการยืนเป็น ‘หมายเลข 10’ ของลิเวอร์พูล เพราะเติมความอันตรายในเรื่องของการเปิดบอลทำแอสซิสต์ ไปจนถึงการหาโอกาสยิงประตูด้วยการยิงไกลหน้ากรอบเขตโทษ
หรือแม้แต่แบรดลีย์เองก็ดูเติบโตขึ้นทางเกมลูกหนังด้วยเช่นเดียวกัน ไม่ได้เล่นแบบดิบๆ อย่างเดียว แต่มีลูกล่อลูกชนมากขึ้น รวมถึงร่างกายที่แข็งแกร่งกำยำขึ้นด้วย
ดังนั้นแม้จะไม่สามารถทำอะไรพิเศษๆได้ในแบบที่เทรนต์เคยทำ แต่อย่างน้อยวันนี้แบ็กไอริชแสดงให้เห็นแล้วว่าแบ็กขวาธรรมดาอย่างเขาก็มีความไม่ธรรมดาในตัวเหมือนกัน
และเขาพร้อมจะเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนทีมไปข้างหน้า
โดยไม่จำเป็นต้องหันกลับมามองข้างหลังด้วยความคิดถึงอีกแล้ว


