วันนี้ (14 กรกฎาคม) สุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังเข้ากราบนมัสการสมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก และพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เพื่อรับแนวทางปฏิบัติในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)
สุชาติระบุว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับวงการสงฆ์ในขณะนี้ มหาเถรสมาคมได้มีการประชุมเร่งด่วนฉุกเฉินไปเมื่อวาน (13 กรกฎาคม) เพื่อแก้ไขปัญหา และมอบหมายให้ตำรวจที่ไปดำเนินการจับกุม บูรณาการร่วมกับพศ. และต้องรายงานไปที่เจ้าคณะหนหรือพระผู้ใหญ่ เพื่อดำเนินการเอาผิดกับพระที่ปฏิบัติมิชอบ ซึ่ง พศ. จะต้องร่วมกับมหาเถรสมาคมออกกฎระเบียบ ประกาศกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
สุชาติระบุว่า สมเด็จฯ ได้ปรารภถึงพระผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับกรณีฉาวที่หายไปว่ากำลังพยายามตามมา และท่านมีความกังวลต่อปัญหาที่สร้างความเสื่อมเสียให้กับพระพุทธศาสนา พร้อมทั้งพยายามเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ
ส่วนการปรับแก้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คณะสงฆ์ สุชาติระบุว่า จะต้องปรึกษากันใหม่ว่าจะทำวิธีการใดที่จะแก้ พ.ร.บ. คณะสงฆ์ที่มีมาตั้งแต่ พ.ศ.2505 หรือจะร่าง พ.ร.บ. ขึ้นมาใหม่ โดยหลักการสำคัญอยู่ที่การกำหนดแนวทางเอาผิดสีกาที่ไปเสพเมถุน และเอาผิดพระที่ประพฤติผิดวินัย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขกฎหมายหรือร่างใหม่ เราต้องการความรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์แบบนี้จะกระทบศรัทธาของประชาชน ส่วนตัวมองว่าแบบนี้แย่ เพราะเมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นก็จะเกิดเรื่องอื่นๆ ตามมา
สุชาติยังระบุถึงการเอาผิดสีกากอล์ฟ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 206 ว่า ขอนำเรื่องนี้ไปพิจารณาก่อน พร้อมหันไปสั่งการเจ้าหน้าที่ พศ. ให้ไปศึกษาการเอาผิดตามมาตรา 206 เพราะขณะนี้ยังไม่สามารถเอาผิดสีกากอล์ฟได้ ทั้งเรื่องของการฉ้อโกงหรือหลอกลวง รวมไปถึงความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีความกังวลใจ ที่ พศ. ยังไม่ได้มีการแจ้งความเอาผิดสีกากอล์ฟ ทำให้คดียังไม่สามารถเดินหน้า สุชาติได้หันไปถามย้ำกับเจ้าหน้าที่ พศ. พร้อมกับสั่งการให้เร่งศึกษาในประเด็นนี้โดยด่วน และกล่าวต่อว่า “นักข่าวได้เสนอประเด็นนี้ขึ้นมา ทำไม พศ. ถึงไม่รู้เรื่อง ขณะที่คนอื่นกำลังหาช่องทางกฎหมาย ผมก็ได้กำชับไปหลายครั้งแล้ว เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข ผมเพิ่งมารับตำแหน่งนี้ได้ไม่ถึงสัปดาห์ก็มีกรณีนี้เป็นเรื่องรับน้อง ยอมรับว่ากังวลมาก จึงได้มาขอคำแนะนำกับท่านสมเด็จฯ ทั้งสองรูปในวันนี้”
สุชาติกล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรอเจ้าหน้าที่ตำรวจสรุปข้อมูลว่าพระที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับสีกากอล์ฟนั้นได้มีการโอนเงินโดยเสน่หาหรือว่าถูกหลอก ซึ่งวันนี้จะทำหนังสือถึงผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอให้ พศ. เข้าร่วมสอบสวนด้วย หากทาง พศ. ล่าช้าตนก็จะเล่นงาน จึงอยากให้ทางตำรวจส่งข้อมูลทั้งหมดมาที่ทางเจ้าคณะหนฯ และสำนักพุทธศาสนาฯ และย้ำว่าตนร้อนใจในเรื่องนี้มาก
ส่วนการ แก้ไข พ.ร.บ. คณะสงฆ์ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องเงิน สุชาติกล่าวว่า ต้นตอของปัญหาและกระบวนการหลอกพระ มาจากการที่พระมีเงินมีทรัพย์สินจำนวนมาก และหลอกง่าย เมื่อพระถูกแบล็กเมล์ก็ต้องยอมโอนเงินให้ พฤติการณ์นี้ทำเป็นขบวนการ เราจึงต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ด้วยการออกกฎกระทรวงว่าทุกบาททุกสตางค์ของวัด ต้องเอาเข้าบัญชีธนาคาร และจำกัดเงินสดที่วัดถือได้ไม่ให้เกิน 100,000 บาท สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งค่าน้ำค่าไฟ ทุกบัญชีนั้นก็ต้องฝากธนาคารทั้งหมด ทุกเดือนจะต้องทำบัญชีรายรับรายจ่าย และต้องสรุปรายงานบัญชีประจำปีด้วย ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการร่างแบบฟอร์มไว้หมดแล้ว โดยจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป หากวัดไหนไม่ปฏิบัติจะถือว่าเป็นการฝ่าฝืน
นอกจากนี้ จะให้ พศ. ดำเนินการย้อนดูธุรกรรมสำหรับวัดที่พบความผิดปกติ ซึ่งตนเคยให้นโยบายกับ พศ. ไว้ว่าต้องทำงานเชิงรุกไม่ใช่ทำงานเชิงรับให้ตำรวจไปจับเพียงอย่างเดียว หลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะต้องไปสอดส่องดูพฤติกรรมของพระในทุกวัดทุกพื้นที่กับชาวบ้านและชุมชน จะต้องไปปราบก่อนเหตุบานปลาย โดยในระหว่างที่รอการตั้งชุดทำงาน ขอให้สำนักงานพุทธศาสนาจังหวัดดำเนินการตรวจสอบพฤติกรรมของพระในแต่ละวัดไปก่อน ซึ่งกฎหมายฉบับนี้จะครอบคลุมไปถึงพฤติกรรมของพระสงฆ์ที่มีการล่วงละเมิดทางเพศทั้งหญิงและชาย จะมีความผิดทั้งทางวินัยสงฆ์ และคดีอาญา
“งานนี้ถือเป็นงานรับน้อง แต่ต้องพยายามทำให้เต็มที่ เพราะกระบวนการได้เกิดขึ้นแล้ว และขอให้เป็นกระบวนการสุดท้ายอย่าให้มีอีก” สุชาติกล่าว พร้อมย้ำว่า การนับถือศาสนาพุทธและพุทธศาสนานับถือที่คำสั่งสอน ส่วนตัวบุคคลที่เรานับถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
สุชาติกล่าวด้วยว่า จากการหารือ พบว่า พระผู้ใหญ่ค่อนข้างกังวลวิกฤตศรัทธาของประชาชน เนื่องจากพระในประเทศไทยมีประมาณ 200,000 กว่ารูป แต่พระเพียงไม่กี่รูปเท่านั้นที่ทำให้เสื่อมเสีย โดยเฉพาะพระผู้ใหญ่ซึ่งบำเพ็ญศีลมานาน ไม่น่าจะขาดสติถึงขนาดปล่อยให้ผู้หญิงมาหลอกได้ ทั้งนี้การแก้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ที่กำลังดำเนินการอยู่นี้ใกล้จะเสร็จแล้ว จากนั้นจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และจัดทำประชาพิจารณ์ควบคู่กันไป คาดว่าภายในสิ้นปีนี้