แม็คกรุ๊ปโชว์กำไรงวด 9 เดือน ปีบัญชี 2567 ทุบสถิติสูงสุดเพิ่มขึ้น 9.8% ผลพวงเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว พร้อมกับเปิดตัวคอลเล็กชันใหม่ควบคู่กับรุกขยายสาขากวาดลูกค้าทุกพื้นที่
“แม้เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ แถมยังกังวลเรื่องสงคราม ตลอดจนปัญหาภัยแล้ง ทำให้ผู้บริโภคไม่มั่นใจต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่เมื่อรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้น เช่น โครงการปรับลดค่าไฟ ลดราคาน้ำมันดีเซล การเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวหลังจากการเปิดประเทศ รวมไปถึงการเปิดฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวชาวจีน คาซัคสถาน อินเดีย และไต้หวัน ช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีขึ้น ช่วยสนับสนุนยอดขายของบริษัท” เจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ‘แม็คกรุ๊ป’ เปิดแผนครึ่งปีหลัง เดินหน้ากลยุทธ์จับมือพันธมิตรลุยขยายฐานลูกค้า หนุนรายได้-กำไร มั่นใจไตรมาส 3 โตต่อเนื่อง
- นักช้อปกลับมาแล้ว! ‘แม็คกรุ๊ป’ โชว์ Q2 ทำกำไร 283 ล้านบาท โต 119% อานิสงส์มาตรการรัฐ
- การคอลแลบข้ามอุตสาหกรรม! แม็คยีนส์ x ขายหัวเราะ เปิดตัวคอลเล็กชัน ‘Mc โอเวอร์’ หวังเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ผ่านคาแรกเตอร์การ์ตูนชื่อดัง
พร้อมกล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาบริษัทเดินหน้าตามกลยุทธ์ที่วางไว้ เริ่มตั้งแต่การจับมือกับพันธมิตร เปิดตัวคอลเล็กชันใหม่ๆ ควบคู่กับลงทุนขยายสาขา จนทำให้ปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 129 แห่ง พร้อมโฟกัสช่องทางออนไลน์มากขึ้น ทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างครอบคลุม และสิ่งที่ทำมาตลอดคือควบคุมค่าใช้จ่ายแบบ 360 องศา
จากกลยุทธ์ทั้งหมดทำให้ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปีบัญชี 2567 (1 กรกฎาคม 2566 – 31 มีนาคม 2567) บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้า 3,178 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 346 ล้านบาท หรือคิดเป็น 12.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนกำไรสุทธิ 577 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 525 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 17.9% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นยังอยู่ในระดับ 64.1% ทั้งกำไรและรายได้ทำสถิติการเติบโตสูงสุด
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปีบัญชี 2567 (1 มกราคม – 31 มีนาคม 2567) บริษัทมีกำไรสุทธิ 165 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 163 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิ 16.4% โดยบริษัทมีรายได้จากการขายสินค้ารวม 995 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ในไตรมาส 3 มีสัดส่วนรายได้จากช่องทางร้านค้าปลีกของตนเอง (Free-standing Shop) ซึ่งเป็นช่องทางหลัก ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 70% ถือว่าเพิ่มขึ้น เพราะจากเดิมอยู่ที่ 65% ส่วนช่องทางร้านค้าออนไลน์ (e-Commerce) มีสัดส่วน รายได้ 9% และช่องทางขายผ่านห้างสรรพสินค้า (Department Store) มีสัดส่วนรายได้ 19%