รายงานจากมาลาวี โมซัมบิก และมาดากัสการ์ ระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากไซโคลนเฟรดดีรวม 3 ประเทศ ทะยานขึ้นแตะที่ 522 คนแล้ว
สำหรับมาลาวีซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักสุดนั้น ยอดผู้เสียชีวิตที่มีการรายงาน ณ วันเสาร์ (18 มีนาคม) อยู่ที่ 438 คน โดยทางการได้ประกาศไว้อาลัยทั่วประเทศเป็นเวลา 14 วันนับตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (16 มีนาคม) และได้จัดตั้งศูนย์อพยพหลายร้อยแห่งทั่วประเทศเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยนับหมื่นคนที่ตอนนี้ไร้ที่อยู่อาศัย รวมถึงประชาชนอีกราว 345,000 คนที่ได้รับผลกระทบจากฝนที่ตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน และเหตุดินถล่ม
สำหรับในโมซัมบิกนั้น มีประชาชนอย่างน้อย 67 คนเสียชีวิต ส่วนผู้ที่ต้องพลัดถิ่นในประเทศอยู่ที่ราว 50,000 คน อย่างไรก็ตาม คาดว่ายอดเสียชีวิตในทั้งสองประเทศจะทะยานขึ้นอีก ส่วนยอดผู้เสียชีวิตในมาดากัสการ์อยู่ที่อย่างน้อย 17 คน
ไซโคลนเฟรดดีพัดขึ้นฝั่งครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ในมาดากัสการ์ ก่อนที่จะเคลื่อนตัวพัดถล่มโมซัมบิก และย้อนกลับลงไปที่มหาสมุทรอินเดีย จากนั้นในวันที่ 11 มีนาคม ไซโคลนเฟรดดีได้พัดเข้ามายังโมซัมบิกเป็นครั้งที่ 2 ก่อนที่จะเคลื่อนตัวสู่มาลาวีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจนสร้างความเสียหายอย่างหนัก ระดับน้ำท่วมสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เส้นทางสัญจรและสะพานหลายจุดพังเสียหาย เกิดภาวะดินโคลนถล่ม ส่งผลให้การปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นไปด้วยความยากลำบากมากยิ่งขึ้น
พอล เทิร์นบูลล์ ผู้อำนวยการโครงการอาหารโลกในมาลาวีกล่าวว่า ขณะนี้พื้นที่หลายแห่งถูกตัดขาด ทำให้ยังไม่สามารถประเมินความเสียหายหรือส่งทีมช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปได้ ทำให้ตอนนี้ยังคงยากที่จะประเมินขอบเขตความเสียหายที่แท้จริงในประเทศ ขณะเดียวกัน สถานการณ์น้ำท่วมในมาลาวีและโมซัมบิกยังก่อให้เกิดความวิตกกังวลว่าประชาชนจะเจอโรคที่แพร่ระบาดมากับน้ำด้วย
ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า ภาวะโลกรวนมีส่วนทำให้ไซโคลนทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าปกติ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกทำให้ไซโคลนดูดรับความชื้นมากขึ้น เกิดลมแรงขึ้น ส่งผลให้มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นด้วยในภาพรวม
ภาพ: AMOS GUMULIRA / AFP
อ้างอิง:
