วันนี้ (5 ก.พ.) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ถือเครื่องวัดปริมาณฝุ่น PM2.5 ติดตัวมาแถลงข่าวหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยนายกฯ ได้วัดปริมาณฝุ่นภายในห้องแถลงข่าวตึกบัญชาการ 1 พบว่า มีปริมาณฝุ่น PM2.5 วัดได้ 30 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มค.ก./ลบ.ม.)
พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า ตอนนี้อยู่ในช่วงของการร่วมมือกันแก้ปัญหา ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งมีหลายมาตรการด้วยกัน
ในส่วนภาคอุตสาหกรรม มีการตรวจโรงงานที่มีความเสี่ยงประมาณ 1,700 โรงงาน
มีการสั่งให้หยุดชั่วคราวไปประมาณ 600 โรงงาน โดยส่วนใหญ่เป็นโรงงานที่มีการใช้พลังงานความร้อนด้วยแก๊สและเชื้อเพลิงหลายชนิด
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า อย่ามองว่าการฉีดน้ำเป็นเรื่องตลก เพราะเป็นการช่วยเหลือประชาชน เขาทำอะไรได้ก็ต้องทำ ซึ่งก็มีส่วนทำให้ฝุ่นละอองอย่างอื่นลดลง ไม่ใช่ว่าจะต้องลดแต่ฝุ่น PM2.5 ถ้าคิดแบบนี้มันจะกลายเป็นเรื่องตลก ซึ่งตนไม่เคยมองแบบนั้น อย่างน้อยก็เพิ่มความชุ่มชื้น ฝุ่นละอองที่มีขนาดใหญ่ก็ตกลงมา
ส่วนของเกษตรกร เพื่อช่วยกัน ไม่เผาวัชพืช ไม่เผาในที่โล่ง ทุกคนก็เข้ามาดูแลกันหมด ถือเป็นความร่วมมือที่ดียิ่ง เป็นแบบอย่างหนึ่งของคนไทยแต่ก็ไม่ทิ้งหลักการสากล
ส่วนการปิดโรงเรียน เพราะสุขภาพของเด็กเป็นเรื่องสำคัญ และเด็กมีภูมิต้านทานต่ำ การให้ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า PM2.5 มีผลต่อร่างกาย แต่ไม่ใช่ปุ๊บปั๊บ มันเป็นระยะยาว ผู้ใดที่อ่อนแอก็จะเป็นมากหน่อย คนแข็งแรงก็ไม่ค่อยมีปัญหามากนัก ส่วนคนชรา คนพิการก็เป็นอีกจำพวกหนึ่ง รัฐบาลจึงต้องมีมาตรการสำหรับคนทุกกลุ่ม
ทั้งนี้ปัญหาฝุ่นละอองใช่เพียงแต่ PM2.5 เพียงแต่มีความละเอียดที่สุด และมาจากการจราจรมากถึง 50-60% ซึ่งรัฐบาลได้ไปแก้ปัญหารถเมล์ 2,000 คันของ ขสมก. รวมถึงขอความร่วมมือกับรถดีเซลให้ไปตรวจคุณภาพของตัวเอง ยืนยันว่าปัญหาฝุ่น ไม่ใช่เพิ่งมาเกิดมาปีนี้ แต่เกิดมาตลอด
ส่วนมาตรการระยะยาวคือต้องเร่งรัดพัฒนารถไฟฟ้า โดยมีแผนหมดแล้วว่าจะมีการพัฒนาอย่างไร วันนี้ประเทศไทยตั้งมาตรฐาน PM2.5 ไว้ที่ไม่เกิน 50 มค.ก./ลบ.ม. แต่วันหน้าถ้าจะลดลงก็จะเหลือ 35 มค.ก./ลบ.ม. ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านและต้องเตรียมการในทุกมิติ ซึ่งเตรียมการตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ในเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมามีการสร้างความรับรู้ออกมาจึงกลายเป็นเรื่องตื่นตระหนกกันไปทั้งหมด
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
