การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) ซึ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งผลที่ออกมาอย่างไม่เป็นทางการคือ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ชนะการเลือกตั้งและเข้ามาเป็นผู้ว่าฯ คนที่ 17 ของกรุงเทพฯ
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้นักลงทุนในตลาดบางส่วนต้องหยิบมาพิจารณาว่าการเข้ามาของผู้ว่าฯ กทม. คนใหม่ พร้อมกับนโยบายใหม่ จะส่งผลกระทบต่อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ มากน้อยเพียงใด
ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่า หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับนโยบายของผู้ว่าฯ คนใหม่ ราคาก็เริ่มซึมซับความคาดหวังไปพอสมควร โดยประเด็นหนึ่งที่ถูกพูดถึงมากคือยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และสถานีชาร์จ ซึ่งเป็นนโยบายที่มีโอกาสเกิด Synergy กับนโยบายของรัฐบาลมากที่สุด ทำให้ 2 วันที่ผ่านมา ราคาหุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับ EV ก็ปรับตัวขึ้นมาบ้าง
“อย่างไรก็ตาม ภาพรวมอาจเป็นแค่ Sentiment ระยะสั้น เพราะต้องรอดูนโยบายหลักหลังจากนี้อีกที รวมทั้งแนวโน้มว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน อีกส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจากภาครัฐด้วย แต่ก็น่าจะเป็นสิ่งที่สอดคล้องกัน”
ส่วนกลุ่มหุ้นอื่นๆ ที่มีการตั้งข้อสังเกต ได้แก่ กลุ่มบริหารจัดการน้ำ กลุ่มบริหารจัดการขยะ จากนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมนั้น ณัฐพลมองว่า อาจจะไม่ได้เห็นการจัดซื้อจัดจ้างเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่จะเป็นการปรับปรุงจากสิ่งที่ทำอยู่เดิมมากกว่า
ขณะที่เรื่องของการต่อสัมปทานรถไฟฟ้า แม้จะมีประเด็นที่ผู้ว่าฯ คนใหม่ไม่เห็นด้วยกับการต่อสัญญาสัมปทานสายสีเขียว และต้องการจะลดราคาค่าตั๋วโดยสาร ซึ่งเป็น Sentiment เชิงลบต่อ BTS แต่ความกังวลเหล่านี้ยังไม่ได้มีความชัดเจนใดๆ
ด้าน สุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ผลกระทบต่อหุ้นจากการเปลี่ยนผู้ว่าฯ ในครั้งนี้ น่าจะมีแค่ประเด็นการต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร แต่ดูจากความตั้งใจของผู้ว่าฯ คนใหม่คือต้องการลดค่าตั๋วลงมาต่ำกว่าที่ BTS คาดหวัง
“จากการสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ในตลาด แม้ว่า BTS จะไม่ได้ต่อสัญญาสัมปทาน แต่ราคาเหมาะสมของ BTS ต่ำสุดที่ได้รับการประเมินก็ยังอยู่ที่ 10 บาท สูงกว่าราคาตลาดในขณะนี้ ทำให้ราคาหุ้นน่าจะสะท้อนประเด็นนี้ไปมากแล้ว”
อีกส่วนที่อาจจะต้องตามดูคือการปรับปรุงในเรื่องของท้องถนน ซึ่งจะรวมไปถึงการตั้งป้ายโฆษณาตามจุดต่างๆ ที่บางส่วนอาจจะไม่เหมาะสม ซึ่งก็อาจจะกระทบต่อบริษัทอย่าง VGI หรือ PLANB แต่ในส่วนนี้ก็ยังไม่มีอะไรชัดเจน
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า หลังทราบผลการเลือกตั้งภาพรวมของตลาดหุ้นเมื่อวานนี้ก็ไม่ได้ตอบรับมากนัก สะท้อนจากมูลค่าซื้อขายราว 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งโดยปกติแล้ว ‘Election Rally’ มักจะเกิดขึ้นกับการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีมากกว่า ซึ่งเราประเมินว่าอาจจะเริ่มเห็น Sentiment นั้นในช่วงปลายปีนี้
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP