การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกสองในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในทวีปยุโรปที่ช่วงก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะสามารถควบคุมได้แล้ว กลับมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ในขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ และเอเชียก็ยังคงสูงขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน
ล่าสุด จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกอยู่ที่ 43.59 ล้านราย เป็นจำนวนจาก 3 ทวีปที่มากที่สุด ได้แก่ สหรัฐฯ 19.92 ล้านราย เอเชีย 13.11 ล้านราย และยุโรป 8.78 ล้านราย
การแพร่ระบาดที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงโดยง่ายส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่ แต่ยังมีบางธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จากการแพร่ระบาดในครั้งนี้ อย่าง บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT และ บมจ.เอ็กโซติค ฟู้ด หรือ XO
กำไรครึ่งปีแรกโตแรง หนุนราคาพุ่งขึ้นสวนตลาด
ราคาหุ้นของทั้ง 2 บริษัทปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างโดดเด่นจากภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ โดยราคาหุ้นของ STGT และ XO จนถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2563 เพิ่มขึ้น 158.82% และ 73.91% ตามลำดับ ในขณะที่ดัชนี SET ติดลบอยู่ 23.48% ส่วนดัชนี mai บวก 0.24% โดยล่าสุด ราคาหุ้นของ XO ยังบวกขึ้นได้ต่ออีก 7% ขึ้นไป ทำจุดสูงสุดของวันที่ 10.70 บาท
ผลประกอบการของทั้ง 2 บริษัทในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ต่างรายงานตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้น โดย STGT มีรายได้รวม 8.69 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีกำไรสุทธิ 1.47 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 350%YoY ขณะที่รายได้ของ XO ครึ่งปีแรก ทำได้ 611.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19%YoY และมีกำไรสุทธิ 139.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70%YoY
สำหรับสัดส่วนรายได้ของทั้ง STGT และ XO ต่างมาจากการส่งออกเป็นหลัก โดยสัดส่วนรายได้ของ STGT มาจากเอเชีย 44.2%, ยุโรป 19.3%, สหรัฐฯ 17.4%, อเมริกาใต้ 10.3%, ตะวันออกกลาง 4.3%, แอฟริกา 3.6% และออสเตรเลียและโอเชียเนีย 1% ขณะที่สัดส่วนรายได้ของ XO มาจากยุโรป 84.2%, เอเชีย 6.9%, สหรัฐฯ 1% และอื่นๆ 8.9%
นักวิเคราะห์มองกำไรดีต่อเนื่องในปี 2564-2565
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า คาดรายได้ไตรมาส 3/63 ของ STGT ที่ 9.50 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 215.1%YoY จากราคาขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากไตรมาสก่อนเป็น 1.32 บาทต่อชิ้น และผลิตเฉลี่ยที่ 2,400 ล้านชิ้นต่อเดือน คาดอัตรากำไรขั้นต้นที่ 40% ทำระดับสูงสุดใหม่ จาก 29% ในไตรมาส 2/63 จากราคาขายที่เพิ่มมากขึ้นมากกว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรขั้นต้นสูงถึง 3.80 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,059%YoY
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายไม่ได้ขึ้นตามไปด้วย เพราะเป็นสินค้าที่อยู่ในความต้องการของตลาด จึงไม่จำเป็นต้องทำการตลาด ขณะที่ค่าใช้จ่ายให้กับตัวแทนจำหน่ายอิงที่จำนวนลัง จึงไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้เพิ่มหากมีการปรับราคาขายต่อชิ้นขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายการขายและบริหารต่อยอดขายในไตรมาส 3/63 คาดต่ำเพียง 3% จาก 5% ในไตรมาสก่อน และ 6% เมื่อปีก่อน โดยที่กำไรปกติคาดทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 3.13 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,041.3%YoY
ส่วนแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/63 คาดจะทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องในระดับประมาณ 4 พันล้านบาท จากผลของการปรับขึ้นราคาขายต่อเนื่อง และสถานการณ์การระบาดที่ยังรุนแรงในฝั่งยุโรปและสหรัฐฯ ทำให้อุปสงค์ของถุงมือยางยังสูงต่อเนื่อง และแม้จะเริ่มมีวัคซีน แต่อาจยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยถึงครึ่งปีหลังของปี 2564 ถึงจะเริ่มมีการกระจายวัคซีนในวงกว้าง และอาจต้องใช้เวลาถึงสิ้นปี 2565 กว่าที่จะกระจายวัคซีนได้ทั่วโลก
เราคาดว่าราคาขายต่อชิ้นจะทรงตัวสูงถึงปี 2565 พร้อมกับกำลังการผลิตที่ทยอยเพิ่มขึ้นตามแผน ทำให้อาจเห็นกำไรทำระดับสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่องถึงไตรมาส 4/65
ขณะที่มุมมองต่อหุ้น XO บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า การระบาดของโควิด-19 ระลอกสองในยุโรปถือว่ารุนแรง และผู้ป่วยสูงกว่าช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายนที่ผ่านมา ทำให้เราประเมินว่ากำไรจะเติบโต YoY ไปอีกอย่างน้อย 3 ไตรมาส ระหว่างไตรมาส 3/63-1/64 โดยคาดกำไรสุทธิปี 2563 ทำได้ 305.9 ล้านบาท เทียบกับปี 2562 ที่ทำได้ 122 ล้านบาท
อ้างอิง: www.ecdc.europa.eu
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล