Starbucks ได้ออกมาประกาศว่า มีแผนจะเริ่มทดสอบการวางจำหน่ายเครื่องดื่ม Cold Pressed Espresso ในร้านกาแฟบางแห่งภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งปกติแล้วเมนูดังกล่าวจะถูกวางจำหน่ายใน Starbucks Reserve ซึ่งจะมีความพรีเมียมกว่าร้านแบบทั่วไป
‘เครื่องดื่มเย็น’ เป็นเมนูที่ชื่นชอบของลูกค้าอายุน้อย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มยอดขายให้กับ Starbucks ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากสถิติชี้ว่าช่วง 3 ปีที่ผ่านมาผู้บริโภคใช้จ่ายเงินมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3.1 หมื่นล้านบาท ไปกับเครื่องดื่มเย็นๆ ของ Starbucks
“มากกว่า 50% ของเครื่องดื่มที่เราขายใน Starbucks มาจากเครื่องดื่มเย็น” Kevin Johnson ซีอีโอของ Starbucks กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ CNBC
แม่ทัพ Starbucks คาดการณ์ว่าหลังจากการระบาดของโรคสงบลงผู้บริโภคจะมองหาปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมากขึ้น ซึ่งจะนำพวกเขากลับไปที่ร้านกาแฟ Starbucks เพื่อซื้อเครื่องดื่มเย็นๆ แต่พวกเขายังมีแนวโน้มที่จะยังคงใช้ช่องทางไดฟ์ทรูหรือสั่งซื้อทางมือถือเพื่อรับกาแฟ
ขณะเดียวกัน Starbucks ได้มีการเปิดเผยแผนอีกว่า ยังเตรียมที่จะเปิดโรงงานคั่วแบบยั่งยืนแห่งแรกในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของ Starbucks ในปีหน้า ด้วยเงินลงทุน 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4.6 พันล้านบาท โดยโครงการนี้เป็นการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของ Starbucks นอกสหรัฐอเมริกาและเป็นโครงการแรกในเอเชีย
นอกจากนี้ Starbucks กล่าวว่ากำลังดำเนินการเพื่อให้ร้านกาแฟเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับลูกค้าที่ตาบอดและสายตาเลือนราง ตอนนี้ลูกค้าในสหรัฐอเมริกาสามารถเข้าถึง Aira ได้ฟรี ซึ่งเป็นบริการที่เชื่อมต่อคนตาบอดหรือผู้มีสายตาเลือนรางเข้ากับล่ามภาพผ่านแอปฯ ขณะเดียวกัน Starbucks มีแผนที่จะเปิดตัวเมนูสิ่งพิมพ์ขนาดใหญ่และอักษรเบรลล์ใหม่ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา
หุ้นของ Starbucks เพิ่มขึ้นประมาณ 87% จากปีที่แล้วทำให้มีมูลค่าตลาดเกือบ 1.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4 ล้านล้านบาท แม้ Starbucks จะเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 แต่การฟื้นตัวในสหรัฐอเมริกาและจีนนั้นเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้
ในไตรมาสหน้า Starbucks คาดการณ์ว่ายอดขายสาขาเดิมในสหรัฐฯ จะเติบโต 5-10% และคาดว่ายอดขายสาขาเดียวกันของจีนจะเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า
ภาพ: Zhang Peng / Getty Images
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: