วันนี้ (31 ตุลาคม) สุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยถึงกรณีกล่าวหา เศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กับพวก ร่วมกันแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายสำหรับเงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และรายจ่ายตามข้อผูกพันที่กฎหมายกำหนดให้จ่าย รวมถึงการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
จากการสอบสวนปรากฏข้อเท็จจริงดังนี้
ข้อกล่าวหาที่ 1 กรณีกล่าวหาว่า เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กับพวก ได้ร่วมกันแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) จำนวน 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และรายจ่ายตามข้อผูกพันที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่ง (1)(2)(3)
รับฟังได้ว่า สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงการคลัง จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือ EXIM Bank ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้พิจารณาเสนอปรับลดงบประมาณของตนเองลง
ตามแนวทางที่ได้มีการประชุมหารือร่วมกันระหว่างสำนักงานเศรษฐกิจการคลังและสำนักงบประมาณ รวมวงเงินงบประมาณที่ถูกปรับลด เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 35,000 ล้านบาท แล้วนำไปเพิ่มเป็นรายจ่ายงบกลาง เพื่อนำไปใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล (หรือโครงการเติมเงิน 10,000 บาท) โดยมิได้เกิดจากฝ่ายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) หรือคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นผู้เสนอขอแปรญัตติเองตามระเบียบหรือข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อปรับลด ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) แต่อย่างใด
ดังนั้น จึงไม่มีการแปรญัตติของ สส. และคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามรัฐธรรมนูญ คดีจึงไม่มีมูลเป็นความผิดฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่ง (3) ตามที่มีการกล่าวหา
นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญยังเคยมีคำวินิจฉัยว่า การยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม ต้องอยู่ในระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา หากร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณดังกล่าวได้รับการพิจารณาเสร็จสิ้น และเป็นกฎหมายใช้บังคับแล้ว ย่อมไม่เข้าหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่จะเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงไม่มีกรณีต้องเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป จึงมีมติให้ยุติการสอบสวนทางลับ ตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561
อย่างไรก็ดี เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงจากการสอบสวนว่า เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มอบนโยบายหรือมีมติสั่งการให้สำนักงบประมาณ (สงป.) ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ดำเนินการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) จำนวน 5 แห่ง พิจารณาทบทวนงบประมาณรายจ่ายที่ได้ตั้งคำขอไว้ โดยให้เสนอปรับลดงบประมาณของตนเองลงเพื่อเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณดังกล่าวไปเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล
ต่อมา ครม. ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 มีมติเห็นชอบการเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตามที่ SFIs เสนอ โดยปรับลดงบของทั้ง 5 แห่ง รวมวงเงิน 35,000 ล้านบาท แล้วนำไปเพิ่มเป็นรายจ่ายงบกลาง เพื่อนำไปใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาล
จนกระทั่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2568 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีมติเห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงงบประมาณดังกล่าว ทั้งที่งบของ SFIs ดังกล่าวมีสถานะเป็นภาระทางการเงินที่รัฐบาลต้องตั้งงบชดเชยตามกฎหมาย ได้แก่ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 28 และ พ.ร.บ. การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2562 มาตรา 28
แต่รัฐบาลของเศรษฐา ทวีสิน กลับดำเนินการปรับลดงบประมาณในส่วนของ SFIs ทั้ง 5 แห่งลง โดยไม่ได้ตั้งงบชดเชยให้ในปีงบประมาณ 2568 การกระทำดังกล่าวจึงเข้าข่ายเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 9 และมาตรา 20 วรรคแรก (5) โดยมีเจตนาเพื่อโยกงบไปใช้ในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ของพรรคเพื่อไทย เพื่อสร้างความนิยมทางการเมือง อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการคลังของประเทศ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้รับเรื่องไว้ไต่สวน ตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561
โดยให้ดำเนินการไต่สวนบุคคลหรือคณะบุคคล ดังนี้ 1. เศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2. ครม. ในรัฐบาลของเศรษฐา ทวีสิน ที่เข้าร่วมประชุมและมีมติเห็นชอบกับการปรับลดงบประมาณ 3. พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง 4. กรณินทร์ กาญจโนมัย รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
สำหรับผู้ถูกร้องรายอื่น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติดังนี้ 1. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ ครม. ในรัฐบาลของ แพทองธาร ชินวัตร มีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับเรื่องไว้ไต่สวน เนื่องจากขณะนั้นยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการแปรญัตติปรับลดงบประมาณ
2.คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฯ ปี 2568 ป.ป.ช. เสียงข้างมาก 5 ต่อ 2 ไม่รับเรื่องไว้ไต่สวน เนื่องจากข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏพฤติการณ์หรือพยานหลักฐานชัดเจน
3. สส. และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฯ ป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับเรื่องไว้ไต่สวน
ข้อกล่าวหาที่ 2 กรณีกล่าวหาว่าเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กับพวก ได้ร่วมกันแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายให้กับกองทุนผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 1,256,710,300 บาท
ป.ป.ช. ตรวจสอบแล้วพบว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีมติไม่เห็นชอบการขอเพิ่มงบดังกล่าว และร่าง พ.ร.บ. งบประมาณที่ประกาศใช้มียอดงบตรงกับที่เสนอเดิม คือ 220,184,400 บาท จึงไม่ปรากฏการแปรญัตติเพิ่มงบกองทุนดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติว่า ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ยุติการสอบสวนทางลับ


 
         
           
                                 
             
                                                     
                                         
                                             
                                                 
                                                     
                                                         
                 
                 
                 
                 
                 
                