เศรษฐา ทวีสิน ชื่อเล่น นิด เกิดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2505 ปัจจุบันอายุ 61 ปี เศรษฐาเป็นบุตรคนเดียวของของ ร้อยโท อำนวย ทวีสิน กับ ชดช้อย ทวีสิน (สกุลเดิม จูตระกูล) บิดาของเศรษฐาเสียชีวิตตั้งแต่เศรษฐาอายุเพียง 3 ขวบ
การศึกษา:
ในระดับประถมศึกษา เศรษฐาศึกษาที่โรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร ก่อนที่จะไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาในระดับไฮสคูล เศรษฐาจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ (University of Massachusetts) และปริญญาโทในสาขาบริหารธุรกิจด้านการเงิน จากบัณฑิตวิทยาลัยแคลร์มอนต์ (Claremont Graduate School) สหรัฐอเมริกา
ประวัติส่วนตัว:
ในปี 2532 เศรษฐา สมรสกับ พญ.พักตร์พิไล ทวีสิน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญความงามด้านผิวพรรณ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีบุตรธิดา 3 คน ได้แก่
- น้อบ-ณภัทร ทวีสิน (บุตร)
- แน้บ-วรัตม์ ทวีสิน (บุตร)
- นุ้บ-ชนัญดา ทวีสิน (ธิดา)
ประวัติการทำงาน:
หลังเรียนจบในปี 2529 เศรษฐากลับมาทำงานที่ประเทศไทยในบริษัทพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล ซึ่งในเวลานั้น P&G เพิ่งย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งเขาเป็นเจ้าหน้าที่การตลาดคนแรก เมื่อทำงานไปได้ประมาณ 3 ปี ทาง P&G ได้เสนอให้เขาไปทำงานในต่างประเทศ แต่ตัดสินใจปฏิเสธเพราะเพิ่งกลับมาประเทศไทย ก่อนที่จะไปทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ร่วมกับ อภิชาติ จูตระกูล ผู้เป็นญาติในชื่อ บริษัท แสนสำราญ จำกัด (ชื่อเดิมของแสนสิริ) ในปี 2533
บริษัทแสนสิริ เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัดในปี 2538 ต่อมาปี 2540 ประเทศไทยรวมถึงบริษัทแสนสิริที่เจอวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ส่งผลให้แสนสิริมีการปลดพนักงาน ขายสินทรัพย์เพื่อให้มีทุนหมุนเวียน จนนำองค์กรกลับมาเติบโตได้ และสามารถผ่านวิกฤตโควิดมาได้ จนในปี 2565 แสนสิริมีกำไรมากที่สุดในรอบ 38 ปี มากกว่า 4,280 ล้านบาท มีรายได้ขึ้นมาอยู่ที่ 34,973.59 ล้านบาท
การเข้าสู่การเมือง:
เดือนพฤศจิกายน 2565 เศรษฐาสมัครเป็นสมาชิกครอบครัวเพื่อไทย และในเดือนมีนาคม 2566 นั่งตำแหน่งประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้กับ แพทองธาร ชินวัตร
ต่อมาในวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา เศรษฐา ทวีสิน ได้ทำรายการโอนหุ้นของ SIRI จำนวน 661 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 4.44% ให้กับ ชนัญดา ทวีสิน (บุตรที่บรรลุนิติภาวะแล้ว) โดยภายหลังการทำธุรกรรมครั้งนี้ ส่งผลให้ เศรษฐา ทวีสิน จะไม่ได้ถือหุ้น SIRI อีกต่อไป จากก่อนการทำรายการที่เคยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 ของ SIRI ตามมาด้วยการประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานอำนวยการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ รวมทุกตำแหน่งในบอร์ดของบริษัทในกลุ่มแสนสิริ มีผลตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2566 เป็นต้นไป
ในเดือนเมษายน 2566 พรรคเพื่อไทยเสนอชื่อเศรษฐาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมกับอีก 2 ท่าน ได้แก่ แพทองธาร ชินวัตร และ ชัยเกษม นิติสิริ
เศรษฐาเคยระบุว่า ไม่ได้มีความฝันที่จะก้าวเข้าสู่การเมืองมาก่อน แต่สิ่งที่เริ่มจุดประกายให้เขาสนใจการเมืองมากขึ้น คือนับตั้งแต่การรัฐประหาร 2 ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเศรษฐาเห็นว่าการยึดอำนาจเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและรับไม่ได้ บวกกับปัญหาสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในช่วง 8-9 ปีหลังมานี้
รวมถึงการแพร่ระบาดของโควิด ที่สะท้อนให้เห็นว่ามีความเหลื่อมล้ำ ความไม่เสมอภาค ความไม่เท่าเทียม เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทย เศรษฐาเห็นว่ารัฐบาลปัจจุบันไม่สามารถทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความเสมอภาค มีความเท่าเทียม และมีสิทธิเสรีภาพในการเลือกได้ จึงตัดสินใจเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย