×

ไก่ไร้หัว? วิกฤตซ้อนวิกฤตของสเปอร์ส เกิดขึ้นตรงไหน และจะจบลงอย่างไร?

25.04.2023
  • LOADING...
วิกฤต สเปอร์ส

HIGHLIGHTS

5 MIN READ
  • การปลดสเตลลินีในครั้งนี้ไม่ต่างอะไรจากการยกมือยอมรับผิดของเลวี ผู้ที่มีส่วนสำคัญในการทำให้เกิดวิกฤตการณ์ที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งของสโมสรในรอบ 20 ปีนับจากที่เขาเข้ามาในถิ่นไวต์ฮาร์ตเลน
  • หากเลวี ซึ่งปกติแล้วเป็นนักเจรจาที่ยอดเยี่ยม อ่านสถานการณ์ขาด ตัดสินใจให้เด็ดเดี่ยวกว่านี้อีกสักนิดในการจิ้มตัวผู้จัดการทีมคนใหม่ไปเลย ปัญหาหลายอย่างอาจจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีกว่านี้

หากเกมปะทะอาร์เซนอลในช่วงปลายฤดูกาลที่แล้วคือเกมสำคัญสำหรับท็อตแนม ฮอตสเปอร์ เพื่อลุ้นแซงหน้าไปยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 

 

เกมที่พบกับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็มีความสำคัญต่อการติด ‘Top 4’ ในแบบเดียวกัน เพราะนี่คือเกม ‘ไป-กลับ 6 แต้ม’ ที่สามารถพลิกเกมได้ทันที ขอเพียงแค่พวกเขาบุกไปสยบเหล่าแม็กพายส์ได้

 

แต่แค่ 21 นาที แฟนบอลสเปอร์สก็ต้องพบกับความฝันที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งของชีวิต เมื่อทีมรักของพวกเขาถูกคู่แข่งไล่ถลุงอย่างสนุกเท้าและง่ายดายเหมือนเตะบอลเล่นกับเด็ก

 

สเปอร์สถูกนิวคาสเซิลยิงยับถึง 5-0 และเกมจบลงด้วยสกอร์ 6-1 

 

ไม่ต้องพูดถึงโอกาสลุ้นติด Top 4 กันแล้ว ต่อให้ในทางทฤษฎีตัวเลขจะเป็นไปได้ แต่ในทางปฏิบัติสิ่งที่สเปอร์สต้องทำทันทีคือ การหยุดยั้งวิกฤตที่เกิดขึ้นซ้อนวิกฤตให้ได้โดยเร็วที่สุด

 

และสิ่งที่ แดเนียล เลวี ในฐานะประธานสโมสรทำคือ การสั่งปลด คริสเตียน สเตลลินี รักษาการผู้จัดการทีม พ้นจากตำแหน่ง หลังจากที่รับงานชั่วคราวต่อจาก อันโตนิโอ คอนเต ได้เพียงแค่ 4 นัดเท่านั้น (แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะมีช่วงที่ช่วยคุมทีมแทนในระหว่างที่กุนซือชาวอิตาลีที่เป็นเพื่อนสนิทกันขอลาไปรักษาตัว) 

 

การปลดสเตลลินีในครั้งนี้ไม่ต่างอะไรจากการยกมือยอมรับผิดของเลวี ผู้ที่มีส่วนสำคัญในการทำให้เกิดวิกฤตการณ์ที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งของสโมสรในรอบ 20 ปีนับจากที่เขาเข้ามาในถิ่นไวต์ฮาร์ตเลน

 

 

ย้อนกลับไปเมื่อ 1 เดือนที่แล้ว สเปอร์สอยู่ในภาวะระส่ำระสาย หลังจากที่นายใหญ่อย่างคอนเต ไม่พอใจกับการทำหน้าที่ของลูกทีมในสนาม พร้อมกับตั้งคำถามในหลายเรื่อง มีการโจมตีทีมออกสื่ออย่างชัดเจน

 

ครั้งนั้นหลายคนมองว่าคอนเตพูดแรง และเหมือนจะ ‘ล้ำเส้น’ มากเกินไป สุดท้ายมันนำไปสู่การลุกฮือของบรรดานักเตะภายในทีม ที่ถูกนายใหญ่ชาวอิตาลีสับเละในเรื่องของทัศนคติและวัฒนธรรมองค์กรภายในทีมที่หย่อนยาน

 

ทีมแบบนี้ไม่มีวันประสบความสำเร็จ จำคำของผมไว้ให้ดี คอนเตไม่ได้พูดแบบนี้ตรงๆ แต่ก็สื่อไปในทิศทางนี้

 

สุดท้ายคอนเต ซึ่งก็ดูไม่ได้อยากทำงานต่อกับสเปอร์สอยู่แล้ว ก็ยอมที่จะแยกทางกับสโมสรทันทีโดยไม่สนอะไรอีกแล้ว 

 

ในระหว่างนั้นทางด้านเลวี ในฐานะผู้นำขององค์กร ตัดสินใจที่จะให้ผู้ช่วยของคอนเตอย่างสเตลลินี รับเผือกร้อนไปก่อน ในระหว่างที่มองหาตัวเลือกผู้จัดการทีมคนใหม่ ซึ่งมีหลายชื่อที่น่าสนใจและหวังว่าจะแต่งตั้งในช่วงปิดฤดูกาลนี้

 

แต่นั่นกลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุด เพราะนอกจากจะไม่เป็นการหยุดปัญหาแล้ว ยังนำไปสู่ปัญหาเพิ่มเติมต่อไปอีก

 

เพราะในขณะที่เลวีคิดว่าเขาอยากเริ่มต้นนับ ‘1’ ใหม่สำหรับฤดูกาลหน้าไฟเลย แต่ทีมไม่สามารถที่จะรอได้ นักเตะไม่รู้อนาคตว่าพวกเขาควรจะวางตัวอย่างไร ใครจะมาเป็นเจ้านายคนใหม่ 

 

ด้วยความเคารพต่อสเตลลินีที่ยินดีจะรับงานลำบาก แต่ปัจจุบันดูเหมือนผู้จัดการทีมชั่วคราวจะไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสมเสมอไป โดยเฉพาะกับวงการฟุตบอลปัจจุบันที่การแข่งขันเข้มข้นและรุนแรงกว่าในอดีตมาก ซึ่งอีกทีมที่เลือกทางแบบเดียวกันอย่างเชลซี ก็เจอสภาพไม่ได้แตกต่างกันนัก

 

ในเวลาเดียวกัน ทางด้านเลวีก็ไม่มีใครที่จะให้คำแนะนำปรึกษาได้ เพราะ ฟาบิโอ ปาริติซี ผู้อำนวยการสโมสรซึ่งดึงตัวมาจากยูเวนตุส ด้วยหวังว่าจะใช้ Vision, Connection และประสบการณ์ ในการยกระดับสเปอร์สไปอีกขั้น ก็ต้องอำลาทีมไปอีกคนเมื่อถูกลงโทษแบน 30 เดือนจากคดีของทีมเก่า

 

 

สเปอร์สในเวลานี้จึงเหมือนไก่ที่ไม่มีหัว ได้แต่วิ่งหน้าตั้งไปเรื่อยแบบไม่รู้ทิศทาง

 

ให้ความเห็นใจกับเลวีในเรื่องของการ ‘กรอง’ ตัวเลือกคนที่จะมาเป็นผู้จัดการทีมที่อยากเลือกคนที่ใช่ที่สุด หลังจากที่ผิดหวังกับโค้ชอย่าง โชเซ มูรินโญ, นูโน เอสปิริโต ซานโต หรือคนที่คิดว่าน่าจะดีอยู่แล้วเชียวอย่าง อันโตนิโอ คอนเต

 

แต่หากเลวี ซึ่งปกติแล้วเป็นนักเจรจาที่ยอดเยี่ยม อ่านสถานการณ์ขาด ตัดสินใจให้เด็ดเดี่ยวกว่านี้อีกสักนิดในการจิ้มตัวผู้จัดการทีมคนใหม่ไปเลย ปัญหาหลายอย่างอาจจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีกว่านี้

 

เพราะความจริงในตลาดช่วงก่อนหน้านี้ก็มีตัวเลือกที่ดีอย่าง ยูเลียน นาเกิลส์มันน์, หลุยส์ เอ็นริเก ไปจนถึงผู้จัดการทีมที่พาสเปอร์สไปได้ไกลที่สุดในยุคที่ผ่านมาและเป็นคนที่แฟนบอลรักที่สุดอย่าง เมาริซิโอ โปเชตติโน ยังคงว่างงานอยู่

 

ถึงผู้จัดการทีมเหล่านี้จะยัง ‘เล่นตัว’ อยู่บ้าง ด้วยการบอกว่า “ไม่อยากรับงานกลางทาง” แต่หากเลวี (และปาตาริซี ในระหว่างที่ยังทำงานได้อยู่) เดินหน้าเจรจาอย่างจริงจัง ต่อให้ไม่ได้ตัวมาคุมทีมในเวลานี้ 

 

แต่การตกลงรับงานล่วงหน้า ทีมจะรู้ ‘ทิศทาง’ ว่าจะก้าวเดินไปทางไหน ความชัดเจนจะช่วยให้อะไรดีขึ้น

 

แต่เมื่อทีมไม่ชัดเจนแบบนี้ ผู้นำไม่ได้มีความสามารถมากพอ สเปอร์สจึงตกอยู่ในสภาพน่าอดสู และเป็นการตอกย้ำการตัดสินใจที่ผิดที่ผิดทางไปหมดของเลวี

 

เหมือนครั้งที่ปลดโปเชตติโน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น 5 เดือนเพิ่งจะพาทีมเข้าชิงแชมเปียนส์ลีก และปลด โชเซ มูรินโญ ก่อนหน้าที่จะถึงนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลลีกคัพ โอกาสที่ทีมจะคว้าแชมป์รายการแรกนับตั้งแต่ปี 2008 (ซึ่งก็เป็นแชมป์รายการเดียวของสเปอร์สในยุคสมัยของเลวี)

 

อย่างไรก็ดี เมื่อตัดสินใจพลาดไปแล้ว เลวีพยายามจะหยุดปัญหาด้วยการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ให้ ไรอัน เมสัน อดีตนักเตะลูกหม้อของสโมสร ซึ่งก็เคยรับงานช่วงสั้นๆ เมื่อ 2 ปีที่แล้วตอนปลดมูรินโญ เข้ามารับเผือกร้อนอีกเป็นคนที่สอง 

 

ความหวังอยู่ที่ความเป็นลูกหม้อและคนดีของเมสัน บวกกับความอับอายที่โดนนิวคาสเซิลถลุงแบบหมดสภาพ 6-1 จะช่วยปลุกสปิริตของทีมให้ประคองตัวจนจบฤดูกาลได้ในสภาพที่ไม่แย่ไปกว่านี้

 

แล้วหลังจากนี้ถึงเวลาที่สเปอร์สจะต้องนับ 1 กันใหม่อย่างแท้จริง

 

เริ่มจากการหาผู้อำนวยการสโมสรคนใหม่ที่มีความสามารถและวิสัยทัศน์ดีพอที่จะช่วยชี้ทางสว่างให้ทีมได้ กำหนดแนวทางการเล่น กำหนดสไตล์ของผู้เล่นชุดใหม่ สร้างทีมกันขึ้นมาใหม่อีกครั้งจากเถ้าถ่าน

 

แล้วจึงหาตัวผู้จัดการทีมที่จะทำงานในแนวทางนั้นได้ ซึ่งมันอาจจะเป็นกุนซือคนดังอย่างนาเกิลส์มันน์หรือเอ็นริเกก็ได้ (ขณะที่ ‘พอช’ น่าจะหมดสิทธิ์รีเทิร์น เพราะส่อเค้าจะไปเชลซีแล้ว) หรืออาจจะเป็นกุนซือนอกกระแสแต่ฝีมือดี เหมือนที่เลวีเคยประสบความสำเร็จกับ มาร์ติน โยล, แฮร์รี เรดแนปป์ หรือโปเชตติโน

 

เกรแฮม พอตเตอร์ ยังว่างงานอยู่อีกคน หรือแม้แต่ โรแบร์โต เด แซร์บี ที่คุมไบรท์ตันอยู่ในตอนนี้ก็ดูน่าสนใจ

 

 

ก่อนที่จะวิเคราะห์องค์ประกอบภายในทีม จะซื้อใครขายใครออกไปบ้าง ซึ่งรวมถึงรายของ แฮร์รี เคน ที่จะกลับมาเจอคำถามเดิมอีกครั้งหลังจบฤดูกาลนี้ว่า เขาจะย้ายออกไปจากทีมหรือไม่ หลังจากที่พยายามอดทนอยู่กับทีมมาตลอด แต่ไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์รายการใดได้เลย ทำได้ดีที่สุดคือการทำลายสถิติดาวซัลโวของสโมสรเท่านั้น

 

สิ่งเหล่านี้คืองานที่เลวีต้องรับผิดชอบในฐานะประธานสโมสร ที่ไม่อาจปัดหรือบ่ายเบี่ยงได้อีกแล้ว เพราะมันชัดเจนบนกระจกเงาแล้วว่า คนที่ทำให้สเปอร์สต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้คือใคร?

 

ไม่ได้แปลว่าความดีงามที่ผ่านมา เช่น การยกระดับสเปอร์สให้ขึ้นมาเป็นทีมระดับท็อปของประเทศ มีสนามฟุตบอลที่ทันสมัยและยอดเยี่ยมที่สุด รวมถึงศูนย์ฝึกฟุตบอลที่ดีที่สุด จะเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายเลย 

 

ในระยะยาวสิ่งเหล่านี้มีความหมายแน่

แต่การจะเป็นสโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จ มันต้องการบางสิ่งบางอย่างที่มากกว่าแค่การบริหารธุรกิจที่เก่ง

และดูเหมือนเลวีจะยังไม่เข้าใจในจุดนี้

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

X
Close Advertising