×

The Flash แม้จะวิ่งเร็วระดับสปีดฟอร์ซ เราก็คงหนีจากอดีตไปได้ไม่ไกลนัก

16.06.2023
  • LOADING...
The Flash

หมายเหตุ: บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์ The Flash

 

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่ใช้เวลาในการพัฒนาโปรเจกต์มาอย่างยาวนานร่วม 10 ปี สำหรับ The Flash ที่ได้ Ezra Miller มารับบทเป็น Barry Allen ซึ่งเริ่มต้นพัฒนาโปรเจก์มาตั้งแต่ช่วงปี 2014 แต่ภาพยนตร์ก็มีการเปลี่ยนตัวผู้กำกับและมือเขียนบทอยู่หลายครั้ง การเผชิญกับสถานการณ์โควิดไปจนถึงข่าวคราวพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของ Ezra Miller จนทำให้อนาคตของ The Flash ดูจะไม่แน่ไม่นอนเท่าไรนัก 

 

แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ภาพยนตร์ก็ยังคงเดินหน้าถ่ายทำจนออกฉายสู่สายตาผู้ชมกันแล้ว โดยได้ Andy Muschietti ที่เคยฝากผลงานสยองขวัญเรื่องเยี่ยมอย่าง It (2017) และ It Chapter Two (2019) มาแล้ว มานั่งแท่นผู้กำกับ และ Christina Hodson จาก Bumblebee (2018) มารับหน้าที่เขียนบท  

 

 

The Flash เป็นการหยิบนำเนื้อหาจากคอมิกเรื่อง Flashpoint มาเป็นแรงบันดาลใจ โดยพาเราไปติดตามเรื่องราวของ Barry Allen ที่ต้องทำภารกิจปกป้องโลกร่วมกับทีม Justice League ไปพร้อมกับการหาหลักฐานเพื่อช่วยเหลือ Henry (Ron Livingston) พ่อของเขา ให้พ้นจากข้อกล่าวหาว่าเป็นคนลงมือสังหาร Nora (Maribel Verdú) แม่ของตนเอง กระทั่งวันหนึ่ง Barry ก็ค้นพบว่า ตัวเองสามารถใช้พลังสปีดฟอร์ซในการย้อนเวลากลับไปยังอดีตได้ เขาจึงตัดสินใจย้อนเวลากลับไปช่วยแม่ของเขา โดยไม่รู้เลยว่าการแก้ไขอดีตครั้งนี้จะสร้างความเสียหายให้กับโลกความจริงอย่างมหาศาล 

 


บทความที่เกี่ยวข้อง:


 

 

ดูเหมือนว่าเรื่องราวเกี่ยวกับมัลติเวิร์สน่าจะกลายเป็น ‘เรื่องปกติ’ ของภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ในปัจจุบันไปแล้ว เริ่มตั้งจักรวาล MCU ที่ใช้มัลติเวิร์สเป็นแกนหลักสำคัญของ Saga ใหม่ (ซึ่งก็มีทั้งสนุกบ้างและติดขัดบ้างไปตามเรื่อง) หรือล่าสุดกับภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Spider-Man: Across the Spider-Verse (2023) ที่พาผู้ชมกระโดดเข้าสู่ Spider-Verse อันยุ่งเหยิงและตีบวกด้วยงานภาพเปี่ยมจินตนาการ

 

ด้วยความที่เราได้เสพเรื่องราวเกี่ยวกับมัลติเวิร์สมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ส่วนตัวผู้เขียนจึงแอบเฉยๆ กับประเด็นมัลติเวิร์สที่ The Flash ต้องการนำเสนอ ทั้งการอธิบายทฤษฎีมัลติเวิร์สให้เราได้รู้จัก และการฉายภาพจักรวาลต่างๆ ให้เราเห็นเป็นรูปธรรม 

 

แต่ก็นั่นแหละ ต้องยอมรับว่าการได้เห็น Michael Keaton กลับมาสวมชุด Batman อีกครั้ง รวมถึงการได้ฟังดนตรีประกอบสุดคลาสสิกจาก Batman ฉบับปี 1989 ในโรงภาพยนตร์จอยักษ์ ก็ยังสร้างความประทับใจให้เราได้ดีเช่นเดิม รวมไปถึงการใส่ฉากเซอร์ไพรส์เล็กๆ น้อยๆ เข้ามาตลอดทั้งเรื่อง ก็น่าจะทำให้แฟนๆ DC ได้ใจฟูกันอย่างแน่นอน  

 

 

ส่วนประเด็นสำคัญของ The Flash ที่ผู้เขียนสนใจจริงๆ คือเรื่องราวการย้อนอดีตของ Barry ที่พาเราไปขุดลึกถึงแง่มุมความรู้สึกของตัวละครอย่างครบถ้วน ทั้งแง่มุมความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างเขาและพ่อ-แม่ในวัยเด็ก ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือบทสนทนาที่เกิดขึ้น ซึ่งเสริมให้ ‘แรงจูงใจ’ ในการย้อนอดีตของ Barry แข็งแรงมากขึ้น 

 

หรือการสร้างคาแรกเตอร์ของ Barry ในอดีตและอนาคตให้มีนิสัยใจคอที่แตกต่างกัน เช่น Barry ในอดีตจะมีความร่าเริงมากกว่า เข้ากับผู้คนได้ง่ายกว่า ตื่นตาตื่นใจกับทุกๆ อย่างที่ได้เห็น ขณะที่ Barry ในอนาคตดูจะเข้าหาคนอื่นไม่เก่ง จริงจังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และมีอารมณ์ที่อ่อนไหวมากกว่า เพื่อสะท้อนให้เราเห็นว่าโลกที่พวกเขาเติบโตขึ้นมานั้นแตกต่างกันขนาดไหน 

 

ซึ่งทำให้เราได้เข้าไปสัมผัสกับบาดแผลในจิตใจของ Barry ในอนาคตที่ต้องสูญเสียแม่ผู้เป็นที่รัก รวมถึงต้องพยายามหาทางช่วยเหลือพ่อของตัวเองอย่างเข้าอกเข้าใจมากขึ้น  

 

 

ไม่เพียงแค่นั้น การที่ Barry ได้โคจรมาพบกับ Bruce Wayne ที่ใช้ชีวิตอยู่กับร่วมกับความสูญเสียมายาวนานกว่า ก็ยังเสริมบทสนทนาระหว่าง Barry และ Bruce ช่วยถ่ายทอดประเด็นของ ‘อดีตคือสิ่งที่หล่อหลอมให้เราเป็นเราใจปัจจุบัน’ ออกมาได้อย่างเฉียบคมและทรงพลังมากขึ้น  

 

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ภายใต้เรื่องราวการต่อสู้สุดเวอร์วัง The Flash อาจกำลังส่งข้อความบางอย่างผ่านเรื่องราวของ Barry ทั้งตัวตนในอดีตและในอนาคตว่า ไม่ว่าเราจะ ‘วิ่งเร็ว’ แค่ไหน เราก็คงหนีจากอดีตอันเจ็บปวดไปได้ไม่ไกลมากนัก ดังนั้นแล้วคำถามที่สำคัญกว่าอาจจะเป็น เราจะเรียนรู้และดำเนินชีวิตต่อไปร่วมกับอดีตเหล่านั้นอย่างไรมากกว่า 

 

 

อีกหนึ่งตัวละครที่เราชื่นชอบเป็นการส่วนตัวคือ Kara หรือ Supergirl ที่รับบทโดย Sasha Calle ที่แม้ว่าในภาพยนตร์จะไม่ได้นำเสนอเรื่องราวของ Kara ให้เรารู้จักอย่างเจาะลึกมากนัก แต่ด้วยการออกแบบคาแรกเตอร์ที่เคร่งขรึม เท่ และมีเสน่ห์ ก็ส่งให้ Kara เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่โดดเด่นไม่แพ้คนอื่นๆ จนเราอยากเห็น Sasha Calle ในบทบาทของ Supergirl อีกใน DCU ของ James Gunn  

 

 

อย่างไรก็ตาม จุดที่เราแอบติดขัดเห็นจะเป็นฉากแอ็กชันสุดท้ายที่เรารู้สึกว่าทีมสร้างค่อนข้างกระจายบทบาทของแต่ละตัวละครได้ไม่ลงตัวนัก เช่น ในจังหวะที่ Kara กำลังจะเริ่มต่อสู้กับ General Zod (Michael Shannon) ภาพก็ตัดไปยังเหตุการณ์อื่นต่อเร็วเกินไป มันจึงทำให้ฉากการต่อสู้ของตัวละครแต่ละตัวดูไม่ต่อเนื่อง รวมถึงบทสรุปของฉากแอ็กชันสุดท้ายที่เราแอบรู้สึกว่ามันดูง่ายดายเกินไปสักหน่อย เราเลยไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับฉากแอ็กชันสุดท้ายเท่าไรนัก 

 

 

ในภาพรวมแล้ว ด้วยปมปัญหาของ Barry ที่ถูกปูมาได้อย่างน่าสนใจ รวมถึงการหยิบประเด็นดังกล่าวมาขยายความและผูกโยงเข้ากับเรื่องราวของ Bruce Wayne เพื่อให้เราได้ทำความเข้าใจความรู้สึกของ Barry อย่างครบถ้วน พร้อมกับขับเน้นประเด็นสำคัญที่ภาพยนตร์ต้องการนำเสนอออกมาได้อย่างทรงพลัง จึงส่งให้ The Flash เป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่อีกหนึ่งเรื่องที่เปี่ยมไปด้วยมวลความรู้สึกของตัวละคร ที่ทำให้เราสามารถเชื่อมโยงและตกหลุมรักพวกเขาได้อย่างไม่ยากเย็น 

 

The Flash เข้าฉายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์

 

รับชมตัวอย่างได้ที่: 

 

 

ภาพ: Warner Bros. Pictures

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising