วันนี้ (22 ส.ค.) ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank แถลงดัชนีสถานการณ์ธุรกิจ SMEs และดัชนีความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ SMEs ประจำไตรมาสที่ 2/2562 จาก 1,239 ตัวอย่างทั่วประเทศ โดยสำรวจ 3 ดัชนี ได้แก่
1. ดัชนีสถานการณ์ธุรกิจ SMEs (SMEs Situation Index)
2. ดัชนีความสามารถในการทำธุรกิจ (SMEs Competency Index)
3. ดัชนีความยั่งยืนของธุรกิจ SMEs (SMEs Sustainability Index) นำมาประมวลให้เห็นถึงดัชนีความสามารถในการแข่งขันของ SMEs (SMEs Competitiveness Index)
โดย ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีอาวุโสวิชาการและงานวิจัย และผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยว่า ดัชนีสถานการณ์ธุรกิจ ไตรมาส 2/2562 อยู่ที่ 42.7 ปรับตัวลด 1.0 จุด เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา (1/2562) และคาดไตรมาส 3/2562 จะอยู่ที่ 41.9 เมื่อจำแนกตามลักษณะการเป็นลูกค้า พบว่ากลุ่มที่ไม่ใช่ลูกค้าของ ธพว. ดัชนีสถานการณ์ธุรกิจปรับจากระดับ 37.4 มาอยู่ที่ระดับ 36.2 ส่วนกลุ่มที่เป็นลูกค้า ธพว. ดัชนีสถานการณ์ธุรกิจ จากระดับ 49.0 มาอยู่ที่ระดับ 48.0
ด้านดัชนีความสามารถในการทำธุรกิจ ไตรมาสที่ 2/2562 อยู่ที่ระดับ 48.8 ปรับตัวลดลง 1.1 จุด เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และคาดไตรมาส 3/2562 จะอยู่ที่ 48.1 เมื่อจำแนกตามลักษณะการเป็นลูกค้า พบว่ากลุ่มที่ไม่ได้เป็นลูกค้า ธพว. ดัชนีความสามารถในการทำธุรกิจจากระดับ 42.2 มาอยู่ที่ระดับ 40.8 ขณะที่กลุ่มที่เป็นลูกค้า ธพว. จากระดับ 57.8 มาอยู่ที่ระดับ 56.8
และด้านดัชนีความยั่งยืนของธุรกิจ ไตรมาสที่ 2/2562 อยู่ที่ระดับ 51.8 ปรับตัวลดลง 0.7 จุด เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และคาดไตรมาส 3/2562 จะอยู่ที่ 50.8 เมื่อจำแนกลักษณะตามการเป็นลูกค้า พบว่ากลุ่มที่ไม่ได้เป็นลูกค้า ธพว. ดัชนีจากระดับ 45.3 มาอยู่ที่ระดับ 44.5 ขณะที่กลุ่มที่เป็นลูกค้า ธพว. จากระดับ 59.6 มาอยู่ที่ระดับ 59.1
นอกจากนี้ ผศ.ดร.ธนวรรธน์ ยังได้กล่าวต่อว่า จาก 3 ดัชนีข้างต้น นำมาสู่ดัชนีความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ไตรมาสที่ 2/2562 พบว่า อยู่ที่ระดับ 47.8 ปรับตัวลดลง 0.9 จุด เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และคาดว่าในไตรมาสที่ 3/2562 จะอยู่ที่ระดับ 46.9 เมื่อจำแนกตามลักษณะการเป็นลูกค้า พบว่ากลุ่มที่ไม่ได้เป็นลูกค้า ธพว. ดัชนีความสามารถในการแข่งขันลดลงจาก 41.6 มาอยู่ที่ 40.5 ส่วนลูกค้า ธพว. ดัชนีความสามารถในการแข่งขันจาก 55.5 มาอยู่ที่ 54.7
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจดังกล่าวดำเนินการก่อนที่รัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เมื่อมีมาตรการกระตุ้นดังกล่าวออกมาแล้ว เชื่อว่าจะมีส่วนสำคัญทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็น ช่วยให้คนมีรายได้และเพิ่มการใช้จ่ายมากขึ้น นักท่องเที่ยวมากขึ้น ธุรกิจมีสภาพคล่องและรายได้มากขึ้น ต้นทุนธุรกิจลดลงจากภาระอัตราดอกเบี้ยลดลง ทำให้สถานการณ์ของ SMEs ไทยขยับปรับดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม พงชาญ สำเภาเงิน รองกรรมการผู้จัดการ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ SME D Bank กล่าวเสริมว่า จากผลสำรวจดังกล่าว กลุ่ม SME ที่เป็นลูกค้า ธพว. ค่าเฉลี่ยดัชนีทุกด้านยังสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้เป็นลูกค้า ธพว. เนื่องจากธนาคารมีกระบวนการพัฒนาผู้ประกอบการคู่กับการให้เงินกู้ เช่น การจัดอบรม จับคู่ธุรกิจ ช่วยขยายตลาด และต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ เป็นต้น ทำให้ลูกค้า ธพว. มีศักยภาพ สามารถปรับตัวทันโลกธุรกิจยุคใหม่ ดังนั้น ธนาคารจะเดินหน้าแนวทางพัฒนาผู้ประกอบการต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการมีภูมิคุ้มกันทางธุรกิจ ลดผลกระทบจากปัจจัยภายนอกควบคู่กับเติมทุนด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ สร้างโอกาสนำไปใช้เสริมสภาพคล่อง, ลงทุน, ขยาย, ปรับปรุงธุรกิจ หรือเป็นทุนหมุนเวียน ช่วยให้ศักยภาพสามารถปรับตัวก้าวข้ามอุปสรรคที่เกิดขึ้นได้
ทั้งนี้ ธนาคารเตรียมผลิตภัณฑ์สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษไว้รองรับ เช่น สินเชื่อนิติบุคคล 555 วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท ดอกเบี้ยเฉลี่ย 7 ปี อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.479% ต่อเดือน สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน คิดดอกเบี้ยถูก นิติบุคคล 3 ปีแรกเพียง 0.25% ต่อเดือน และบุคคลธรรมดา 3 ปีแรกเพียง 0.42% ต่อเดือน เป็นต้น ตั้งเป้าว่าภายในปีนี้ (2562) จะสนับสนุนผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งทุนได้กว่า 60,000 ล้านบาท
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า