การระบาดของโควิด-19 ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจและธุรกิจทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยนั้น รากฐานขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างธุรกิจ SMEs ที่คิดเป็นกว่า 90% ของธุรกิจทั้งหมดในประเทศและมีการจ้างงานสูงกว่า 13 ล้านคน ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากยิ่งขึ้นไปอีกจากวิกฤตโควิด-19 หลังเผชิญคลื่น Technology Disruption ไปก่อนหน้านี้
หากต้องการพา SMEs ไทยให้รอดพ้นจากวิกฤตในวิกฤต จำเป็นต้องเข้าใจสถานการณ์และปัญหาที่ SMEs ไทยเผชิญอยู่เสียก่อน ทั้งในเชิงของโครงสร้างของปัญหาที่มีมาช้านาน และปัญหาที่ถูกเร่งด้วยผลกระทบจากโควิด-19 ต่อธุรกิจทุกภาคอุตสาหกรรม และทำความเข้าใจถึงบทบาทขององค์กรภาครัฐและเอกชนที่สนับสนุน ส่งเสริม และขับเคลื่อนการพัฒนาของ SMEs ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านเงินทุนและการแนะแนวการพัฒนาศักยภาพธุรกิจที่ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเริ่มดำเนินการได้เอง
เมื่อมองในภาพของปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของ SMEs นั้น พบว่าการเข้าไม่ถึงเงินทุนของสถาบันการเงินเพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดธุรกิจ (Access of Source of Funds), การขาดความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในด้านการบริหารจัดการเงินทุน (Cash Nanagement) และการบริหารจัดการธุรกิจอย่างเป็นระบบ เนื่องจากข้อจำกัดด้านทรัพยากร โดยหากแบ่งย่อยลงไปตามประเภทของ SMEs จะพบว่าแต่ละกลุ่มเผชิญปัญหาที่แตกต่างกัน
- ME (Medium Enterprises) หมายถึงกลุ่มที่มีรายได้ระหว่าง 50-500 ล้านบาท
สำหรับปัญหาของ ME คือ หลักประกันไม่เพียงพอสำหรับขอสินเชื่อให้ได้วงเงินตามที่ต้องการ โดยเฉพาะธุรกิจบริการที่ต้องการวงเงินสูงมาก ซึ่งจากจำนวน ME ทั้งหมด 44,290 ราย ข้อมูลจาก Bluebik Analysis พบว่า มีธุรกิจที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนสถาบันจำนวน 12,401 ราย คิดเป็นประมาณ 28%
- SE (Small Enterprises) เป็นกลุ่มที่มีรายได้ระหว่าง 1.8-50 หรือ 100 ล้านบาท (ขึ้นอยู่กับภาคธุรกิจ) โดยจากจำนวน SE ทั้งหมด 415,722 ราย พบว่ามีธุรกิจที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนสถาบันจำนวน 216,496 ราย คิดเป็นประมาณ 52%
สำหรับปัญหาของกลุ่ม SE ต้องแตกออกเป็นอีก 2 กลุ่มย่อย เนื่องจากเผชิญสถานการณ์ที่แตกต่างกัน คือกลุ่มที่มีศักยภาพในการเติบโต (Regular & Strong) หมายถึงกลุ่มที่ยังมีอัตราการเติบโตมากกว่า 20% ในช่วง 3 ปีล่าสุด และกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตถดถอยในช่วง 3 ปี (Turnaround)
ในกลุ่ม Regular & Strong มีปัญหาใหญ่เรื่องเงินทุนหมุนเวียนไม่เพียงพอ และยังมีต้นทุนการดำเนินงานสูง เนื่องจากไม่ได้เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ จึงไม่มีอำนาจมากพอต่อรองกับซัพพลายเออร์ รวมทั้งยังไม่มีการบริหารจัดการต้นทุนอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายพนักงานที่มีจำนวนมากขึ้นตามการขยายตัวของธุรกิจ ส่วนกลุ่ม Turnaround เป็นกลุ่มที่มีปัญหาหลักในด้านสุขภาพทางการเงิน จากธุรกิจที่ไม่เติบโตและอาจมีการขาดทุนสะสม ซึ่งเกิดจากการขาดความเข้าใจถึงการวิเคราะห์สุขภาพทางการเงิน
- Micro เป็นกลุ่มที่มีรายได้น้อยกว่า 1.8 ล้านบาท โดยจากจำนวนกลุ่ม Micro ทั้งหมด 2,645,084 ราย พบว่ามีธุรกิจที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนสถาบันจำนวน 1,247,188 ราย คิดเป็นประมาณ 47%
กลุ่ม Micro มีปัญหาในหลากหลายมิติ ตั้งแต่การมีรายรับเป็นเงินสด (Cash-Based) ทำให้ขาดข้อมูลเชิงบัญชีที่สามารถใช้ในการวิเคราะห์สินเชื่อจากสถาบันการเงิน การโดนดิสรัปต์ด้วย E-Commerce และการค้าขายผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงการขาดความรู้และความเข้าใจการบันทึกบัญชีพื้นฐาน
- กลุ่มนอกระบบ เช่น กลุ่มร้านหาบเร่ แผงลอย โดยจากจำนวนกลุ่ม SMEs นอกระบบทั้งหมด 2,148,199 ราย พบว่ามีธุรกิจที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนสถาบันจำนวน 1,476,086 ราย คิดเป็นประมาณ 68%
ในกลุ่มนอกระบบ ปัญหาน่ากังวลที่สุดเป็นเรื่องหนี้นอกระบบ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อธุรกิจมีปัญหาทางการเงินและไม่สามารถขอกู้จากสถาบันการเงินได้ เนื่องจากการอยู่นอกระบบส่งผลให้คุณสมบัติไม่ตรงกับหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด เมื่อธุรกิจเจอปัญหาทางการเงินซ้ำๆ จึงต้องกู้ยืมเพิ่มและเกิดหนี้คงค้างจำนวนมาก จนติดอยู่ในวังวนของหนี้นอกระบบในที่สุด
สำหรับมาตรการช่วยเหลือและสนับสนุนให้ SMEs เติบโตอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากองค์กรใน 2 ภาคส่วนสำคัญ ซึ่งมีบทบาทแตกต่างกัน
- องค์กรภาครัฐ
ในช่วงที่ผ่านมา องค์กรภาครัฐได้ออกมาตรการและแนวทางช่วยเหลือ SMEs โดยเฉพาะมาตรการทางการเงินเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่ง ธปท. และกระทรวงการคลัง ได้ออกมาตรการช่วยเหลือ SMEs เช่น
- การเลื่อนกำหนดการชำระหนี้สำหรับธุรกิจ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน เพื่อช่วยให้ SMEs มีสภาพคล่อง
- การสนับสนุนสินเชื่อใหม่ (Soft Loan) ให้แก่ธุรกิจ SMEs วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่อง อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนพิเศษร้อยละ 2 ต่อปี โดยไม่คิดดอกเบี้ยในช่วง 6 เดือนแรก
- มาตรการเสริมสภาพคล่องเพื่อดูแลเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน
- ลดเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Institutions Development Fund: FIDF) ของธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ (สถาบันการเงิน) เพื่อลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้ของภาคธุรกิจและประชาชน
นอกจากนี้ องค์กรภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ เช่น ร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการเงิน และ ธปท. เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชำระเงิน เช่น PromptPay หรือ QR Code ซึ่งช่วยลดต้นทุนธุรกรรมทางการเงิน รวมถึงการช่วยผู้ประกอบการพัฒนาทักษะและความรู้ในด้านต่างๆ เช่น บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ที่เปิดคลินิกให้คำปรึกษาทางการเงินและแก้ไขหนี้ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ SMEs ฐานราก
- สถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์
บทบาทสำคัญของสถาบันการเงินเป็นการสนับสนุนการสร้าง Track Record เพื่อนำไปใช้ประกอบการพิจารณาสินเชื่อ รวมถึงการสนับสนุนการให้สินเชื่อโดยอาศัยจากข้อมูลที่ได้มาจาก Big Data (Information-Based Lending) มากขึ้น เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากยิ่งขึ้น
สำหรับธนาคารพาณิชย์ ได้เข้าไปช่วยเตรียมความพร้อมให้ SMEs ในการทำธุรกิจออนไลน์ โดยเฉพาะการผลักดันให้ SMEs นำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ที่มีการให้บริการครบวงจร ตั้งแต่จับมือ Wongnai ทำ Merchant Application (POS) สำหรับร้านอาหาร ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลธุรกรรมการเงินสำหรับขอสินเชื่อ รวมถึงมีบริการระบบ Payroll จัดการเรื่องการจ่ายเงินให้พนักงาน อีกทั้งมี Trade Club แพลตฟอร์มอัปเดตข้อมูลและสร้างเครือข่ายพันธมิตรสำหรับธุรกิจส่งออก ขณะที่ธนาคารกสิกรไทย จับมือเป็นพันธมิตรกับแพลตฟอร์ม E-Commerce อย่าง Shopee ปล่อยสินเชื่อด่วนให้กับธุรกิจออนไลน์ที่ขายผ่านแพลตฟอร์ม
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าองค์กรภาครัฐและเอกชนมีบทบาทในการเข้าไปช่วยเหลือ SMEs เรื่องการให้การสนับสนุนทางการเงิน ให้ความรู้คำปรึกษาด้านการบริหารธุรกิจ และการช่วยเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี
นอกจากมาตรการช่วยเหลือจากองค์กรอื่นๆ ผู้ประกอบการ SMEs จำเป็นต้องช่วยเหลือตัวเองด้วยเช่นกัน ตั้งแต่เตรียมความพร้อมปรับตัวรับมือความเปลี่ยนแปลง วางแผนและบริหารจัดการธุรกิจอย่างเป็นระบบ เช่น จัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายเพื่อให้มีบันทึกข้อมูลทางการเงินเก็บไว้ ซึ่งจะช่วยให้ SMEs รู้ตัวเร็วขึ้นเมื่อเกิดปัญหา โดยเฉพาะปัญหาทางการเงิน รวมถึงเพื่อให้มีข้อมูลเพื่อนำไปวิเคราะห์และพัฒนาธุรกิจในอนาคต
เมื่อมีการเก็บรวบรวมข้อมูลไว้ในระบบ สิ่งสำคัญที่จะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันคือ การนำข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อพัฒนาธุรกิจต่อไป ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน
- หาเป้าหมายของธุรกิจ (Business Objective)
ต้องเข้าใจก่อนว่าธุรกิจต้องการอะไร เช่น ต้องการขยายฐานลูกค้า เพิ่มยอดใช้จ่ายของลูกค้า หรือลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
- ประเมินว่ามีข้อมูลอะไรที่พร้อมใช้
ข้อมูลในที่นี้หมายถึงข้อมูลลูกค้าหรือข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับธุรกิจที่เก็บไว้ในระบบ รวมถึงตรวจดูว่าแหล่งข้อมูลดังกล่าวมาจากไหนบ้าง
- นำข้อมูลมาสร้าง Insight
เป็นการนำข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่มาวิเคราะห์ โดยอาจใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น AI หรือ Machine Learning เพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น
- เปลี่ยน Insight เป็น Impact
นำผลลัพธ์ของการวิเคราะห์ไปลงมือปฏิบัติการจริง เช่น ออกโปรโมชั่นสงเสริมการขาย หรือการเพิ่ม/ลดงบโฆษณา
แม้จากภาพรวมสถานการณ์และปัญหาที่ SMEs กำลังเผชิญอยู่นั้น ปัญหาเรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการถือเป็นปัญหาใหญ่ และจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากองค์กรภาครัฐและเอกชน แต่การพัฒนาศักยภาพของ SMEs ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน หากต้องการหลุดพันจากหล่มวิกฤต
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล