×

14 วิธี สำหรับ SME ที่อยากเริ่มต้นสู่ความยั่งยืน

23.08.2025
  • LOADING...
SME เริ่มทำธุรกิจอย่างยั่งยืน

HIGHLIGHTS

4 min read
  • เมื่อ ESG เหมือนเป็นข้อบังคับที่ไม่ว่าจะมีธุรกิจขนาดใดก็ต้องทำ ใครไม่ทำเสี่ยงที่จะค้าขายด้วยยาก ทำให้ SME ไม่กล้าเริ่มสักที เพราะเข้าใจว่า ต้องใช้เงินลงทุนสูง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด
  • ESG บางมิติ สามารถเริ่มทำได้เลยจากสิ่งที่ SME เป็นอยู่ เพียงแต่ผู้บริหารคือตัวแปรหลักที่ต้องมีนโยบายออกมา และกำหนดวิธีการชัดเจน เพื่อที่พนักงานจะได้เดินไปสู่เป้าหมายได้ถูก
  • THE STANDARD WEALTH รวบรวม 14 เทคนิควิธีที่ SME สามารถเริ่มนำไปปรับกระบวนการทำงานให้ศึกษาและทดลองทำเพื่อวัดผลได้ในระยะสั้น-กลางได้ เพราะเมื่อทำแล้วเห็นผลก็จะได้เกิดแรงจูงใจทำต่อ 
  • ตั้งแต่ปรับการใช้วัสดุในสำนักงาน เปลี่ยนหลอดไฟ เพิ่มพื้นที่โซนสว่างให้แสงธรรมชาติ วางแผนการเดินทางแบบส่วนตัวหรือรถองค์กร หาโครงการอบรมเพิ่มความรู้จากบริษัทขนาดใหญ่ที่พร้อมเป็นพี่เลี้ยง ฯลฯ

การคำนึง ESG ในการดำเนินธุรกิจอาจเป็นเรื่องเข้าใจว่าต้องใช้เงินลงทุนสูงเสมอ ซึ่งความจริงสามารถเริ่มสตาร์ตได้ตั้งแต่ไม่มีต้นทุนเพิ่มหรือใช้เงินทุนน้อยๆ ก่อนได้ เพียงแต่ต้องเริ่มจากผู้บริหารองค์กรเป็นหัวเรือหลักออกนโยบายและสนับสนุนบริบทต่างๆ ให้พนักงานสามารถปรับวิธีคิดและช่วยองค์กรสู่เป้าหมายเดียวกัน เพื่อเป็นคู่ค้าหรือห่วงโซ่ธุรกิจที่พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืนไปกับพันธมิตรธุรกิจ ที่ปัจจุบันเสมือนเป็นข้อบังคับให้ทุกธุรกิจต้องคำนึง ESG อย่างที่ปฏิเสธได้ยากแล้ว

 

1. เริ่มที่ Mindset องค์กร

 

ต้องเริ่มสื่อสารให้พนักงานเห็นในทิศทางเดียวกันว่า ESG จะเป็นตัวบังคับที่ไม่อาจปฏิเสธได้ต่อไปในการดำเนินธุรกิจ แม้ไม่ใช่บริษัทใหญ่ แต่หากเราคือหนึ่งในบริษัทที่ต้องเป็นคู่ค้าหรืออยู่ในห่วงโซ่ธุรกิจของธุรกิจขนาดใหญ่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แม้สิ่งที่ธุรกิจเรามีเป็นสิ่งจำเป็นกับเขาขนาดไหน แต่ด้วยกฎเกณฑ์ที่กึ่งเป็นภาคบังคับมากขึ้นตามมาตรฐานสากล บริษัทใหญ่สามารถเปลี่ยนไปใช้บริษัทอื่นแทนได้เสมอถ้าเราไม่ปรับตัว

 

2. รณรงค์และปรับพฤติกรรมลดใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ในองค์กร

 

เป็นวิธีการที่เหมาะสำหรับทุกประเภทธุรกิจและไม่มีต้นทุนการดำเนินงาน ตั้งแต่ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมที่ 25-26 องศา ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อไม่ใช้งาน และถอดปลั๊ก/ปิดสวิตช์ นอกเวลางาน เพราะการเสียบปลั๊กค้างไว้จะกินไฟมากกว่าค่าเฉลี่ยการใช้ไฟฟ้าทั้งออฟฟิศ ผลที่จะได้คือ ช่วยประหยัดและลดค่าไฟเฉลี่ยโดยรวมทั้งออฟฟิศ ที่สำคัญคือ เป็นการลดการเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้

 

3. วางแผนการเดินทางให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

ด้วยสไตล์การทำงานสมัยใหม่กำหนดวันให้พนักงาน Work from home หรือ Remote โดยจัดประชุมออนไลน์แทนการเดินทางได้ หรือสนับสนุนให้พนักงานเดินทางร่วมกัน (Carpool) หรือใช้ขนส่งสาธารณะ ที่สำคัญคือ กำหนดเส้นทางขนส่งให้เหมาะสมกับรถขนส่งของบริษัท วิธีนี้ถือเป็นต้นทุนที่ต่ำ เพียงไม่เกิน 1-3 เดือน ก็น่าจะเห็นผลจากต้นทุนการเดินทางที่ลดลงได้

 

4. ปรับวิธีการจัดการขยะและวัสดุเหลือใช้ในออฟฟิศ

 

ลดการใช้กระดาษและใช้เอกสารดิจิทัลเข้ามาแทน เพิ่มการบริหารจัดการแยกขยะเพื่อนำไปสู่การรีไซเคิลหรือฝังกลบให้น้อยที่สุด รวมถึงรณรงค์ให้พนักงานใช้แก้วหรือขวดน้ำส่วนตัวแทนการใช้ภาชนะที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ถือเป็นวิธีที่ไม่มีต้นทุนเพิ่มและยังเห็นผลได้ทันทีด้วย โดยปกติถ้ามีการรีไซเคิลกระดาษสำนักงานได้ 1 ตัน เท่ากับช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ 4.3 ตัน เมื่อเทียบกับการผลิตกระดาษใหม่

 

5. ปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

 

เป็นประโยชน์มากสำหรับธุรกิจที่เป็นสินค้าอุตสาหกรรมหรือธุรกิจค้าปลีก E-Commerce โดยปรับมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน เช่น บรรจุภัณฑ์กระดาษหรือพลาสติกที่ย่อยสลายได้ รวมถึงลดวัสดุส่วนเกินของบรรจุภัณฑ์ที่ไม่จำเป็นลง เช่น ลดการห่อซ้อนหลายชั้น หรือออกแบบให้บรรจุภัณฑ์ลดการใช้วัตถุดิบที่มาก หรือเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ซ้ำได้ แน่นอนว่าต้องมีต้นทุนการเปลี่ยนแพ็กเกจจิ้ง แต่สิ่งที่บริษัทจะได้นั่นคือ ช่วยลดต้นทุนบรรจุภัณฑ์ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ที่สำคัญยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ยั่งยืนได้ด้วย

 

6. ติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดน้ำในองค์กร

 

รณรงค์ให้พนักงานช่วยกันดูแลเรื่องการใช้น้ำ สังเกตจุดที่น้ำรั่วซึมในสำนักงาน หรือติดตั้งหัวก๊อกและฝักบัวแบบลดปริมาณน้ำไหล (Low-flow) เปลี่ยนสุขภัณฑ์รุ่นเก่าเป็นรุ่นที่ได้มาตรฐานการประหยัดน้ำ ซึ่งอาจทำให้มีค่าใช้จ่ายได้ แต่หากมองระยะยาวก็จะส่งผลในการประหยัดค่าน้ำประปาต่อเดือนได้ 

 

7. เปลี่ยนระบบแสงสว่างที่ใช้งานในองค์กร

 

เปลี่ยนเป็นหลอดไฟ LED 16 วัตต์ โดยมีการวัดจากการเปิดใช้งาน 8 ชั่วโมง/วัน ตลอดปี จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้มากกว่า 50 % ต่อปี หรือปรับพฤติกรรมบริเวณที่สามารถใช้แสงธรรมชาติในเวลากลางวัน เช่น การเปิดม่านรับแสงในออฟฟิศที่ไม่รบกวนหรือเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน โดยภาพรวมอาจใช้ระยะเวลา 1-2 ปี ในการเห็นผลเพื่อให้เห็นการเปรียบเทียบเชิงตัวเลขในแต่ละปีได้ชัดเจน

 

8. สร้างการมีส่วนร่วมให้พนักงานช่วยลดการปล่อยคาร์บอนฯ

 

อบรมหรือสร้างความตระหนักเรื่องการช่วยกันลดการใช้พลังงานในออฟฟิศ ควบคู่ให้พนักงานมีเป้าหมายลดคาร์บอนฯ ร่วมกับองค์กร หรือตั้งเป็นระบบให้รางวัลพนักงานที่มีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อีกทั้งเปิดพื้นที่ให้พนักงานได้เสนอไอเดียหรือวิธีที่ช่วยกันประหยัดพลังงานง่ายๆ ด้วยตนเอง หรือมีข้อเสนอแนะสำหรับองค์กร เพราะจะเห็นผลและเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ต้องมาจากตัวและหัวใจที่พร้อมจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเอง

 

9. เลือกคู่ค้าที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน 

 

วางรากฐานสร้างเครือข่ายธุรกิจที่พร้อมจะเติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน เช่น คู่ค้าที่มีใบรับรองด้านสิ่งแวดล้อมหรือกำหนดเป้าหมาย Net Zero ชัดเจน และพร้อมแลกเปลี่ยนการให้ข้อมูลวิธีปฏิบัติการรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม การรายงานหรือวัดผลการปล่อยคาร์บอน ซึ่งอันนี้อาจใช้เวลาวัดผลมากกว่า 6-12 เดือน และมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นบ้าง แต่ปัจจุบันก็มีหลายหน่วยงานที่คอยให้คำแนะนำมากขึ้น 

 

10. เปลี่ยนระบบ Server ในองค์กรเป็น Cloud

 

วางแผนย้ายข้อมูลให้เป็นระบบอย่างเป็นขั้นตอน ลองให้ฝ่ายไอทีประเมินผลแล้วค่อยๆ ปรับเปลี่ยนเป็นขั้นตอน พร้อมอบรมพนักงานรองรับการใช้ระบบงานใหม่ แล้วเลือกผู้ให้บริการ Cloud ที่ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 100 % ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนจากการประมวลผลลดจำนวนมากเมื่อเทียบกับการตั้ง Server ในองค์กร แน่นอนต้องมีต้นทุนเพิ่มแต่ก็ขึ้นอยู่กับขนาดแต่ละองค์กรหลัก และอาจใช้เวลาเห็นผลเมื่อระบบทุกอย่างเข้าที่ประมาณ 3-6 เดือน เป็นต้นไป 

 

11. ปรับพื้นที่ออฟฟิศเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

จัดพื้นที่ให้รับแสงธรรมชาติมากที่สุด ทาสีผนังหรือเพดานด้วยสีโทนอ่อนหรือสีขาวเพื่อสะท้อนแสงธรรมชาติ เพิ่มต้นไม้ที่ช่วยทำหน้าที่เหมือนเครื่องกรองอากาศธรรมชาติ รวมทั้งใช้วัสดุตกแต่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผลที่ได้นอกจากช่วยเพิ่มแสงสว่างโดยรวมแล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานได้อีก แต่อาจต้องใช้ระยะเวลาเพื่อประเมินผลว่ามีประสิทธิภาพขนาดไหน รวมทั้งใช้ต้นทุนในการปรับเปลี่ยนที่สูง แต่สิ่งที่ได้จะเกิดผลในระยะยาวแน่นอน

 

12. เข้าร่วมโครงการบริษัทขนาดใหญ่พร้อมเป็นพี่เลี้ยง SME

 

ร่วมโครงการอบรมต่างๆ ที่หลายบริษัทขนาดใหญ่จัดขึ้นเพื่อสนับสนุน SME โดยนำประสบการณ์มาถ่ายทอด ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนสามารถเปลี่ยนผ่านการเป็นองค์กรที่ยั่งยืนและนำเรื่อง ESG เข้าไปเป็นกลยุทธ์และแบบแผนการดำเนินธุรกิจอย่างจริงจัง ซึ่งบริษัทเหล่านี้พร้อมจะส่งต่อสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ทั้งถูกและผิดมาแล้ว ไว้เป็นข้อมูลให้ SME ได้เป็นแรงบันดาลใจ พร้อมนำไปปรับและประยุกต์ในการดำเนินธุรกิจของตัวเอง เพราะเชื่อว่าการทำเรื่องยั่งยืนถ้าจะให้รอด ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดไหนทั้งใหญ่ กลาง เล็ก ต้องเติบโตไปด้วยกันหมดถึงจะรอดได้อย่างแท้จริง

 

13. สินเชื่อสีเขียว

 

ถ้าไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร แต่เมื่อประเมินแล้วว่าธุรกิจเราจำเป็นต้องเริ่ม ESG เพราะอาจทำให้เป็นคู่ค้าทางธุรกิจกับพันธมิตรได้ยาก และจำเป็นต้องลงทุนปรับกระบวนการผลิตหรือบริการ ลองไปปรึกษาและหาวิธีกับสถาบันการเงินที่ปัจจุบันก็พร้อมจะสนับสนุนสินเชื่อสีเขียวมากขึ้น เพราะสถาบันการเงินส่วนใหญ่ก็มีเป้าหมายปรับพอร์ตสินเชื่อด้านนี้มากขึ้นด้วยเช่นกัน 

 

14. ลองประเมินตัวเองจากเครื่องมือหน่วยงานต่างๆ

 

  • สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จัดทำ Green SME Index หรือแบบประเมินศักยภาพธุรกิจตามแนวคิดธุรกิจสีเขียว (Self-Assessment) ซึ่งมีศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นผู้ร่างและพัฒนาแบบประเมินตัวชี้วัดนี้ จะมีคำถามให้วิสาหกิจรายย่อยไปจนถึงระดับมาตรฐานระดับชาติหรือสากลที่เหมาะกับผู้ประกอบการรายใหญ่ (https://greensmeindex.com/)

 

  • อีกทั้งมีหลักสูตร SME Academy 365 แหล่งเรียนรู้ออนไลน์เปิด 24 ชั่วโมง ตลอด 365 วัน/ปี และโครงการ Business Development Service for Sustainable: BDS for Sustainable (SME ปังตังได้คืน) ที่อุดหนุนค่าใช้จ่ายในการพัฒนา SME แบบร่วมจ่าย (Co-payment) ในสัดส่วน 50-80% วงเงินสูงสุด 200,000 บาท ตามขนาดของธุรกิจ (https://.sme.go.th)

 

  • สภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ (TFAC) จัดทำแนวปฏิบัติการบริหารความเสี่ยงด้าน ESG ฉบับภาษาไทย เป็นแนวปฏิบัติที่ออกแบบมาเพื่อประยุกต์ใช้กรอบโครงสร้างการบริหารความเสี่ยงขององค์กร COSO (https://www.tfac.or.th/)

 

  • สถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทำ CCI Library แบบ E-Books มีเนื้อหารองรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมทุกขนาด ตั้งแต่ เรื่อง Carbon Neutrality การประมวลข้อมูลสำคัญประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรม กลไกการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) การประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร (CFO) การประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ (CFP) พร้อมมี Climate Change Clinic ให้บริการงานที่ปรึกษาดังกล่าวอีกด้วย ดูได้ที่โซเชียลมีเดียของสถาบัน 

 

  • สถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน สภาอุตฯ ร่วมกับ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้บริการรับรองมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (ECO Factory) เพื่อส่งเสริมให้ดำเนินธุรกิจโรงงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และให้บริการรับรองวอเตอร์ฟุตพรินต์ผลิตภัณฑ์ (Water Footprint) เพื่อวิเคราะห์และประเมินการใช้น้ำ ทั้งเชิงปริมาณการใช้น้ำ และการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดวัฏจักร (Life Cycle Assessment : LCA) พร้อมบริการอบรมหลักสูตรบุคลากรด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับผู้ปฏิบัติงานในโรงงานอุตสาหกรรมทุกระดับ (https://ecofactory.fti.or.th/)

 

  • หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย (TCC) อบรมเชิงปฏิบัติการเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อผู้ประกอบการ Circular Economy Workshop เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้และความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการ MSMEs เพื่อคิดวิเคราะห์ พร้อมหาแนวทางในการประยุกต์ใช้เศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดผลสำหรับธุรกิจ

 

  • ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) SET Sustainability : SET E-Learning มีหลักสูตรให้ความรู้ด้าน ESG และการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนที่ทุกคนสามารถเรียนรู้แบบออนไลน์ได้ด้วยตัวเองตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่ พนักงานบริษัทจดทะเบียน ผู้ประกอบการ ผู้ประกอบวิชาชีพ นักลงทุน นิสิต/นักศึกษา หรือผู้สนใจทั่วไป ([email protected])

 

  • สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA หลักสูตรออนไลน์ Greentech & Innovation พร้อมเชื่อมโยงความร่วมมือกับทุกภาคส่วนสนับสนุนสตาร์ตอัป กิจการเพื่อสังคม และผู้ประกอบการไทย โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาปรับใช้เกี่ยวเนื่องกับสิ่งแวดล้อมเพื่อยกระดับและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางธุรกิจควบคู่กับความยั่งยืนของโลก (www.nia.or.th)

 

เชื่อได้ว่า ถ้า SME เริ่มต้นปรับเพื่อเปลี่ยนในวันนี้ อนาคตก็สามารถจับมือกันรอดและอยู่อย่างยั่งยืนไปด้วยกันได้แน่นอน 

 

ภาพ: Nitat Termmee / Getty Images 

อ้างอิง: 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising