กระแส K-Culture ในไทยยังฟีเวอร์! ‘KOTRA’ เผยรัฐบาลเกาหลีใต้ยกให้ไทยเป็นฐานยุทธศาสตร์สำคัญของอาเซียน ขยายตลาดสินค้าและวัฒนธรรมเกาหลีสู่ระดับโลก ชี้ไทยเป็นประเทศที่ผู้บริโภคเปิดรับและเข้าถึงสินค้าและคอนเทนต์เกาหลีมากที่สุดในภูมิภาค
ยงซอง คิม ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้า และการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย (Korea Trade-Investment Promotion Agency : KOTRA Bangkok ซึ่งเป็นองค์กรรัฐภายใต้กระทรวงการค้า อุตสาหกรรมและพลังงาน ของประเทศเกาหลีใต้ กล่าวว่า ในวันนี้อาหารเกาหลียังคงเป็นที่นิยมในไทย หลังได้มีการส่งเสริมอาหารเกาหลีให้เป็นวัฒนธรรมกระแสหลักของโลก
โดยต่อยอดจากความสำเร็จที่มาจากการผสานจุดแข็งด้านรสชาติ สุขภาพ และวัฒนธรรม เอกลักษณ์ภูมิปัญญาดั้งเดิม นำเสนอใหม่ให้เป็นที่สนใจของผู้บริโภค เช่น การนำอาหารหมักและเทคนิคการหมักแบบดั้งเดิมที่ทำให้เกิดโพรไบโอติกส์ (probiotics)
ผ่านการนำเสนอในรูปแบบอาหารสุขภาพ สื่อสารไปยังผู้บริโภคโดยผ่าน K-Culture, K-POP และ K-Drama ทำให้เกิดการรับรู้และความนิยมในวงกว้าง ซึ่งจุดแข็งของ K-Food นอกจากอาหารหมักดั้งเดิมอย่างกิมจิและซอสต่างๆ แล้ว ยังรวมถึงอาหารพร้อมรับประทาน ขนม-ของหวาน อาหาร-เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ขณะที่เทรนด์การพัฒนาอาหารเกาหลีต่อไปนั้น มีเป้าหมายในการเป็นสัญลักษณ์ของอาหารคุณภาพ สุขภาพ และมีความคิดสร้างสรรค์ โดยเน้นไปที่กลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพและความงาม (Functional Wellness Foods & Beauty Supplements)
คิม ระบุอีกว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรม “K-Content” ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็น K-POP, K-Drama, K-Beauty, K-Food มีมูลค่าการส่งออกในปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 1.52 หมื่นล้านดอลลาร์ สหรัฐ
ส่วนเฉพาะ K-Food เพียงอย่างเดียวรัฐบาลเกาหลีได้ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการส่งออก K-Food ให้แตะ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายใหญ่ในอีก 5 ปีข้างหน้า
“เรามองว่าด้วยศักยภาพ K-Food ในไทยที่ยังคงมาแรง บวกกับกระแสเกาหลี อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น K-POP, K-Series, K-Beauty ล้วนเป็นสิ่งที่เติบโตควบคู่กันได้อย่างดีกับวัฒนธรรมเกาหลีใต้ และ K-Food ในไทยถือว่าได้รับความนิยมอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อเทียบกับทุกประเทศ ดังนั้นไทยจึงเป็น Gate Way สำคัญในการขยายตลาดอาหารเกาหลีใต้สู่ภูมิภาค”
โดยสินค้าอาหารที่เติบโตสูงสุด 5 อันดับในไทยและอาเซียน ได้แก่ 1. บะหมี่และอาหารพร้อมรับประทาน 2. ซอสและเครื่องปรุง เช่น โคชูจัง และซอสต๊อกบกกี 3. เครื่องดื่มสุขภาพ เช่น คอลลาเจน โสม และโพรไบโอติก 4. ขนมและของหวานเกาหลี 5. อาหารหมัก เช่น กิมจิ
ส่วนร้านอาหารเกาหลีก็ได้รับการต้อนรับที่ดีจากกระแส K-Culture ด้วยเช่นกัน ทำให้แบรนด์ร้านอาหารเกาหลีเริ่มขยายสาขาสู่ประเทศไทย เช่น BHC Chicken หรือ Solsot และร้านอาหารไทยก็มีการเพิ่มเมนูอาหารเกาหลีเพื่อดึงดูดลูกค้า
“ในเกาหลีใต้มีผู้ประกอบการร้านอาหารกว่า 6 แสนราย
คิม กล่าวอีกว่า นโยบายของรัฐบาลคือต้องการส่งเสริมให้ K-Food เติบโต และบทบาทของ KOTRA คือการช่วยเป็นที่ปรึกษาทั้งด้านกฎหมายของแต่ละประเทศ จัดงานแสดงสินค้าเพื่อเพิ่มโอกาสเจรจาการค้า จับคู่พันธมิตรทางธุรกิจในท้องถิ่นหรือ B2B ขณะที่อาหารเกาหลีใต้ยอดฮิต เช่น ไก่เผ็ดซอสเกาหลี ไก่ทอด ปิ้งย่าง
“ประเทศไทยยังเป็นตลาดที่ผู้บริโภคชอบอาหารเกาหลีใต้หรือ K-Food มากสุดแห่งหนึ่งของโลก แม้อุตสาหกรรมอาหารในไทยแข่งขันสูง เพราะถือเป็นสนามที่มีความหลากหลายทั้งอาหารญี่ปุ่น อาหารจีน อาหารตะวันตก”
ทั้งนี้ หนึ่งในอาวุธส่งเสริม K-Food คือการจัดงานแสดงสินค้า และ “SEOUL FOOD” ผ่านสำนักงานของ KOTRA ทั้ง 131 แห่ง ใน 85 ประเทศทั่วโลก ซึ่งการจัดงานมีเพียงปีละครั้งในประเทศต่างๆ เช่น ยุโรป ญี่ปุ่นฯ
ส่วนไทยเพิ่งจัดครั้งแรกปี 2567 สร้างมูลค่าการค้าและการเจรจาธุรกิจราว 250 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 8,196 ล้านบาท จากผู้ประกอบการอาหารเกาหลีใต้เข้าร่วมงาน 123 ราย มีผู้ซื้อ-ขายจาก 13 ประเทศ รวม 332 ราย
ในปีนี้งาน SEOUL FOOD in Bangkok 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
“การสนับสนุนอาหารเกาหลีในต่างประเทศถือเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาล โดยเฉพาะเจาะตลาดเอเชีย ไทยมีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของอาเซียน ซึ่งผู้บริโภคไทยเปิดกว้างต่อวัฒนธรรมต่างชาติ โดยเฉพาะ K-Culture ที่ยังได้รับความนิยมสูง” คิมกล่าว
ประเทศไทยจึงได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพปีที่ 2 สะท้อนบทบาทของไทยในฐานะตลาดยุทธศาสตร์และศูนย์กลางการเชื่อมต่อเศรษฐกิจเกาหลี-อาเซียน อีกด้วย


