×

เซอร์จิม เปิดใจถึงวิกฤตแมนฯ ยูไนเต็ด และภารกิจคว้าแชมป์ลีกใน 3 ปี

11.03.2025
  • LOADING...
เซอร์จิม แมนยู

เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ เจ้าของร่วมของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ INEOS ออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงในการให้สัมภาษณ์กับ BBC Sport เกี่ยวกับปัญหาภายในของแมนฯ ยูไนเต็ด ในหลายแง่มุม 

 

ทั้งการออกมายอมรับความผิดพลาดในอดีตเกี่ยวกับการต่อสัญญา เทน ฮาก, แผนพลิกฟื้นแมนฯ ยูไนเต็ด สู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง, เรื่องหนี้สิน, การเสริมทัพ และเป้าหมายคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ที่เจ้าตัวคาดหวังให้เกิดขึ้นภายในปี 2028

 

และนี่คือสรุปประเด็นหลักเกี่ยวกับบทสัมภาษณ์ของ เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ ถึงมุมมองที่มีต่อแมนฯ ยูไนเต็ด ในเวลานี้

 


 

 

เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับขุมกำลังของทีม โดยยอมรับว่านักเตะบางรายยังไม่ดีพอ และบางคนค่าเหนื่อยสูงเกินจริง โดยส่วนใหญ่เป็นนักเตะที่ตกทอดมาจากการบริหารงานของบอร์ดชุดเก่า

 

“หากคุณมองไปที่ผู้เล่นที่เราซื้อในช่วงซัมเมอร์นี้ ซึ่งเราไม่ได้ซื้อเอง เราได้ซื้อแอนโทนี, คาเซมิโร, โอนานา, ฮอยลุนด์, ซานโช สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม เราก็รับช่วงต่อสิ่งเหล่านี้มา และต้องจัดการเรื่องนี้

 

“ส่วน จาดอน ซานโช ตอนนี้เล่นให้เชลซี และเราจ่ายเงินค่าเหนื่อยให้เขาครึ่งหนึ่ง นั่นหมายถึงเราต้องเสียเงิน 17 ล้านปอนด์เพื่อซื้อเขากลับมาในช่วงซัมเมอร์”

 

นอกจากนี้บรรดานักเตะที่เซอร์จิมพาดพิงถึงหลายคนยังทำผลงานไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ทั้งแอนโทนีที่ถูกปล่อยยืมให้กับเรอัล เบติส, คาเซมิโรกับฟอร์มไม่คงที่ และโอนานาที่ยังมีจังหวะผิดพลาดให้เห็นบ่อยครั้ง

 

ขณะเดียวกันเซอร์จิมยังย้ำว่าการสร้างทีมขึ้นใหม่ต้องใช้เวลา และแม้จะมีผู้เล่นที่ดีอยู่บ้าง เช่น บรูโน แฟร์นันด์ส ซึ่งเขายกให้เป็นนักเตะที่ทีมยังต้องพึ่งพา แต่โดยรวมแล้วทีมยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากอดีตสู่อนาคต ซึ่งต้องใช้เวลาในการปรับโครงสร้างให้เข้าที่

 


 

 

เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ ออกมายอมรับและขอโทษแฟนบอลต่อการตัดสินใจต่อสัญญาและให้โอกาส เอริก เทน ฮาก คุมทีมต่อในช่วงซัมเมอร์ ก่อนจะปลดออกจากตำแหน่งหลังคุมทีมในลีกเพียง 9 นัด

 

เช่นเดียวกับการแต่งตั้ง แดน แอชเวิร์ธ เป็นผู้อำนวยการกีฬา ซึ่งอยู่ในตำแหน่งเพียง 5 เดือนก่อนแยกทางกัน โดยเซอร์จิมยอมรับว่านี่คือการตัดสินใจที่ผิดพลาด และเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับการบริหารทีมในอนาคต

 


 

 

เซอร์จิมแสดงความเชื่อมั่นใน รูเบน อโมริม กุนซือวัย 40 ปี ที่เข้ามารับไม้ต่อจาก เอริก เทน ฮาก และแม้ว่าผลงานในลีกยังไม่น่าพอใจ ปัจจุบันแมนฯ ยูไนเต็ด รั้งอันดับ 14 ของตาราง และตามหลังจ่าฝูงอย่างลิเวอร์พูลถึง 36 แต้ม และเหลือลุ้นแชมป์เพียง 1 รายการนั่นคือ ยูฟ่ายูโรปาลีก

 

“ผมคิดว่ารูเบนเป็นผู้จัดการทีมหนุ่มที่โดดเด่นมาก ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ เขาเป็นผู้จัดการทีมที่ยอดเยี่ยม และผมคิดว่าเขาจะอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน ผมเห็นแววของเขาแล้วในเกมกับอาร์เซนอล ทั้งที่นักเตะตัวหลักเจ็บไปเกือบหมด เขายังทำให้ทีมเล่นได้ดี รูเบนทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมมาก”

 


 

 

อีกหนึ่งปัญหาที่ถูกพูดถึงหนักสำหรับแมนฯ ยูไนเต็ด คือเรื่องของภาระหนี้สินของแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ส่งผลกระทบถึงการปรับโครงสร้างในองค์กร และลดจำนวนพนักงานจำนวนมาก

 

“หนี้สินเป็นแค่ส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่าย แต่มันไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้สโมสรมีปัญหาทางการเงิน ถ้าสโมสรสามารถกลับมาทำกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง เราจะสามารถจ่ายหนี้และบริหารจัดการได้ดีขึ้น นั่นคือเป้าหมายของเรา”

 

โดยเซอร์จิมเน้นย้ำว่า สโมสรต้องให้ความสำคัญกับการเสริมแกร่งทีมมากกว่าการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยในส่วนอื่น

 

“ท้ายที่สุดแล้ว หากคุณมองการบริหารสโมสรที่มีขนาดเท่ากับแมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งมีรายได้ประมาณ 650 ล้านปอนด์ คุณจะใช้เงิน 650 ล้านปอนด์ส่วนหนึ่งในการบริหารสโมสร และอีกส่วนหนึ่งในการบริหารทีม

 

“เราต้องเลือกว่าจะใช้เงินไปกับอะไร จะใช้ไปกับค่าใช้จ่ายการดำเนินงานสโมสร หรือจะใช้เพื่อพัฒนาทีม เพราะถ้าคุณใช้เงินไปกับทีม คุณก็จะได้ผลงานที่ดีขึ้น และสุดท้ายแล้วแมนฯ ยูไนเต็ด อยู่ที่นี่เพื่ออะไร หากไม่ใช่เพื่อคว้าถ้วยรางวัล?

 

“สิ่งที่เราต้องการทำคือลงทุนกับผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลก ถ้าทำได้ แทนที่จะใช้เงินไปกับอาหารกลางวันฟรีๆ ที่ผมเกรงว่าจะเป็นมื้อเที่ยง เพราะสิ่งเดียวที่ผมให้ความสำคัญคือการนำแมนฯ ยูไนเต็ด กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง”

 


 

 

แม้สถานการณ์ปัจจุบันของยูไนเต็ดจะดูย่ำแย่ แต่เซอร์จิมยังคงตั้งเป้าพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ได้ภายในปี 2028 ซึ่งจะตรงกับช่วงครบรอบ 150 ปีของสโมสร

 

“ผมไม่คิดว่ามันเป็นภารกิจที่เป็นไปไม่ได้” ขณะเดียวกันเซอร์จิมยังเปรียบเทียบกับอาร์เซนอลและลิเวอร์พูล ทีมชั้นนำของลีกที่ใช้เวลาหลายปีในการฟื้นฟูสโมสรให้กลับมาสู่เส้นทางแห่งชัยชนะ และแน่นอนว่าแมนฯ ยูไนเต็ด ก็กำลังเดินในเส้นทางเดียวกัน

 

นอกจากนี้สโมสรยังมีแผนที่จะสร้างสนามใหม่ที่อาจเป็นสนามฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาสโมสรในระยะยาว โดยรายละเอียดเพิ่มเติมจะประกาศเร็วๆ นี้

 

“ในความคิดของผม อีก 3 ปีข้างหน้า แมนฯ ยูไนเต็ด จะเป็นทีมที่แตกต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง เราจะกลายเป็นสโมสรที่ทำกำไรได้มากที่สุดในโลก ผมคิดว่าเราอาจมีสนามฟุตบอลที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก และเราจะคว้าแชมป์ได้อีกครั้ง”

 


 

 

อีกหนึ่งประเด็นที่แรตคลิฟฟ์ถูกวิจารณ์หนัก คือการให้ความสำคัญกับทีมฟุตบอลหญิงของสโมสร ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยกล่าวว่าทีมชายคือประเด็นหลักของแมนฯ ยูไนเต็ด และเคยถูกกล่าวหาว่าตัวเขาไม่รู้จักแม้แต่ชื่อนักเตะหญิงในทีม

 

แต่ครั้งนี้ เซอร์จิม ออกมาชี้แจงว่า สโมสรให้ความสำคัญกับทีมฟุตบอลหญิงไม่แพ้ทีมชาย “สิ่งที่ผมพูดตอนต้นก็คือ ผมมุ่งเน้นไปที่ทีมชายเป็นหลัก เพราะนั่นคือสิ่งที่ทำให้แมนฯ ยูไนเต็ด เปลี่ยนแปลงไป แต่ทีมฟุตบอลหญิงก็เป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์แมนฯ ยูไนเต็ด เช่นกัน

 

“จากรายได้ 650 ล้านปอนด์ของเรา 640 ล้านปอนด์มาจากทีมชาย และ 10 ล้านปอนด์มาจากทีมหญิง ด้วยประสบการณ์ทางธุรกิจของผม คุณมักจะมุ่งเน้นไปที่ปัญหาที่ใหญ่กว่า ก่อนที่จะมุ่งเน้นไปที่ปัญหาที่เล็กกว่า

 

“แต่ทีมหญิงมีตราสินค้าแมนฯ ยูไนเต็ด โลโก้แมนฯ ยูไนเต็ด ดังนั้นพวกเขามีความสำคัญพอๆ กับทีมชาย และพูดตรงๆ ว่าพวกเขาทำได้ดีกว่าทีมชาย พวกเขาอยู่อันดับ 2 ของลีกและคว้าแชมป์เอฟเอคัพเมื่อฤดูกาลที่แล้ว มาร์ก สกินเนอร์ ทำหน้าที่โค้ชได้ดีมาก และมายา (เลอ ทิสซิเอร์) กัปตันทีมคนใหม่ กำลังทำงานได้ยอดเยี่ยม

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising