×

‘สิงห์ เอสเตท’ ลุยต่อ ‘จิ๊กซอว์’ ธุรกิจใหม่ หลังได้สิทธิ์ซื้อหุ้นโรงไฟฟ้า 30% คาดสร้างรายได้ 7.5 พันล้านบาท

โดย THE STANDARD TEAM
30.03.2021
  • LOADING...
Singha Estate

HIGHLIGHTS

4 mins. read
  • สิงห์ เอสเตท หรือ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ได้รับสิทธิ์เข้าซื้อหุ้น 30% ในโรงงานผลิตไฟฟ้าและความร้อนร่วม (Co-Generation Power Plant) ขนาดใหญ่ 3 แห่ง
  • โรงไฟฟ้าและความร้อนร่วมทั้ง 3 แห่งนี้จะช่วยให้สิงห์สามารถผลิตกระแสไฟฟ้ารวมได้มากกว่า 400 เมกะวัตต์ ภายใต้งบลงทุนรวม 1,392 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าน่าจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทมากถึงราว 7,500 ล้านบาท ภายในปี 2567 

ภายหลังจากช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตท หรือ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศแผนธุรกิจเข้ารุก ‘น่านน้ำใหม่’ ที่สำคัญประกอบด้วย เช่น ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม, ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า, ธุรกิจให้บริการด้านวิศวกรรม และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ เพื่อเติมเต็มความหลากหลาย กระจายความเสี่ยงพอร์ตธุรกิจบริษัท และเพิ่มขีดศักยภาพในการแข่งขันการดำเนินธุรกิจของบริษัท

 

ล่าสุดดูเหมือนว่าแผนการ ‘ต่อจิ๊กซอว์’ ขยายกลุ่มธุรกิจใหม่นี้ก็ดูจะเริ่ม ‘ชัดเจน’ และเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพวกเขาออกมาประกาศว่าได้รับสิทธิ์เพียงผู้เดียวในการเข้าซื้อหุ้น 30% ในโรงงานผลิตไฟฟ้าและความร้อนร่วม (Co-Generation Power Plant) ขนาดใหญ่ 3 แห่ง ได้แก่

 

1. โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าและพลังงานความร้อนร่วม (บริษัท อ่างทอง เพาเวอร์ จำกัด) ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ จังหวัดอ่างทอง > ‘ดำเนินการผลิตอยู่แล้ว’ – กำลังการผลิต 123 เมกะวัตต์

 

2. โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าแห่งใหม่ (บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 1 จำกัด) > ‘อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง (คาดว่าพร้อมเปิดดำเนินการปี 2566)’ – กำลังการผลิต 140 เมกะวัตต์

 

3. โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าแห่งใหม่ (บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 2 จำกัด) > ‘อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง (คาดว่าพร้อมเปิดดำเนินการปี 2566)’ – กำลังการผลิต 140 เมกะวัตต์ 

 

สำหรับสิทธิ์ในการเข้าซื้อหุ้นของโรงไฟฟ้าและความร้อนร่วมครั้งนี้ของ สิงห์ เอสเตท จะเป็นไปในรูปแบบ ‘การซื้อราคาพาร์’ โดยคิดเป็นมูลค่างบลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,392 ล้านบาท 

 

 

เมื่อรวมกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงผลิตทั้ง 3 แห่งที่เข้าลงทุนเข้าด้วยกัน นั่นหมายความว่าพวกเขาจะเป็นเจ้าของกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าสูงถึงกว่า 403 เมกะวัตต์เลยทีเดียว ซึ่งการเข้าซื้ออย่างเป็นทางการจะแล้วเสร็จทันทีที่ได้รับการอนุมัติโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นของบริษัท ในการประชุมสามัญประจำปีในวันที่ 23 เมษายน 2564 ที่จะถึงนี้

 

ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สิงห์ เอสเตท กล่าวถึงการเข้าลงทุนในครั้งนี้ว่า ใบอนุญาตโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยกำลังการผลิตเช่นนี้ ‘ไม่ใช่สิ่งที่จะหามาได้ง่ายๆ’ ดังนั้นในฐานะตัวแทนของสิงห์ เอสเตท เธอจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่บริษัทได้รับสิทธิ์เข้าถือหุ้นโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งนี้ในสัดส่วนมาก 

 

เพราะว่าผลที่ตามมาคือการที่บริษัทสร้าง ‘Shortcut’ เสกฐานความมั่นคงในอุตสาหกรรมการผลิตกระแสไฟฟ้าขึ้นมาโดยที่ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ด้วยตัวเองจากศูนย์ แถม ณ วันนี้สัดส่วน 70% ของกระแสไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งก็สามารถจำหน่ายได้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว 

 

พูดง่ายๆ ก็คือ สิงห​์ เอสเตท ‘ขายของได้’ มีคนมาจองคิวตั้งแต่หน้าร้านยังไม่เปิดด้วยซ้ำ!

 

“ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สิทธิ์ในการเข้าซื้อหุ้นที่เราได้รับนั้นน่าดึงดูดใจเป็นอย่างมาก คือการที่ไฟฟ้าจำนวน 270 เมกะวัตต์ หรือเกือบ 70% ของกระแสไฟฟ้าที่ทั้ง 3 โรงไฟฟ้านี้จะผลิตได้รวมกันนั้นขายได้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว และจะเป็นราคาตามที่ตกลงกันแล้วด้วย ซึ่งทำให้เรามั่นใจได้ว่า เราจะสร้างรายได้เข้ามาได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เสริมศักยภาพให้กับสิงห์ เอสเตท ในการเป็นธุรกิจที่จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้เป็นอย่างดีในทุกสถานการณ์ (Resilient Business)

 

“อ่างทอง เพาเวอร์ เป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่ทำกำไรได้โดยไม่จำเป็นต้องขายไฟให้กับผู้ใช้ทั่วไป และกระแสไฟฟ้าจำนวน 75% ของกระแสไฟฟ้าทั้งหมดที่ผลิตได้ ได้ถูกทำสัญญาซื้อโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 25 ปี ทั้งนี้การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงย่ิงช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลกำไรจนสูงขึ้นกว่าอัตราที่ประเมินไว้ในขั้นต้นอีกด้วย” ฐิติมากล่าว

 

ด้านแม่ทัพอย่าง จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บมจ.สิงห์ เอสเตท กล่าวถึงแผนการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งนี้ว่า “เราได้สิทธิ์ซื้อหุ้นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเงื่อนไขที่น่าดึงดูดใจเป็นอย่างยิ่ง ถือเป็นหนึ่งจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะทำให้สิงห์ เอสเตท ก้าวไปสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผลิตกระแสไฟฟ้า และให้บริการด้านวิศวกรรมอันดับต้นๆ ของประเทศไทย พร้อมกับขยายธุรกิจของเราให้ใหญ่ขึ้นสามเท่าในเวลา 3 ปี

 

“เราต้องการสร้างธุรกิจนี้ให้ยิ่งใหญ่อย่างมั่นคง และมีผลตอบแทนที่แน่นอนสม่ำเสมอ พร้อมๆ กับการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการเติบโต โดยที่เราจะใช้ประโยชน์จากการผนึกกำลังกันของ 4 กลุ่มธุรกิจของสิงห์ เอสเตท มาเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน”

 

ทั้งนี้ สิงห์ เอสเตท ยังได้คาดการณ์อีกด้วยว่า โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งนี้จะช่วยสร้างรายได้ให้กับบริษัทมากถึงราว 7,500 ล้านบาท ภายในปี 2567 ซึ่งหมายความว่า การใช้ศักยภาพจากธุรกิจกลุ่มโรงไฟฟ้าก็จะกลายเป็นอีกหนึ่งในส่วนผสมสำคัญที่ช่วยผลักดันรายได้ของบริษัทให้โตสามเท่าตัวภายในระยะเวลา 3 ปีต่อจากนี้

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising