สถานะของสิงคโปร์ในฐานะ ‘สวรรค์ของคนรวย’ หรือแหล่งพักพิงที่ปลอดภัยสำหรับครอบครัวมหาเศรษฐีจากจีนแผ่นดินใหญ่กำลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการพลิกกลับของกระแสเงินทุนที่เคยหลั่งไหลเข้ามายังสิงคโปร์ หลังจากที่ศูนย์กลางความมั่งคั่งคู่แข่งอย่างฮ่องกงต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังปี 2019
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2023 หลังจากคดีฟอกเงินครั้งใหญ่มูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 7.43 หมื่นล้านบาท) ซึ่งทำให้หน่วยงานกำกับดูแลของสิงคโปร์ต้องเริ่มเพิ่มความเข้มงวดของกฎระเบียบและตรวจสอบประวัติลูกค้าผู้มั่งคั่งใหม่อย่างละเอียด
ไรอัน หลิน ผู้อำนวยการบริษัทกฎหมาย Bayfront Law เปิดเผยว่า ยอดคำร้องจากลูกค้าจีนแผ่นดินใหญ่ที่ต้องการเข้ามาตั้งสำนักงานครอบครัว (family office) หรือพำนักอาศัยในสิงคโปร์ ลดลงถึงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับปี 2022 เนื่องจากความเข้มงวดที่เพิ่มขึ้นทำให้เศรษฐีจีนจำนวนมากย้ายออกไปยังฮ่องกง, ตะวันออกกลาง และญี่ปุ่น
‘กฎเหล็ก’ ที่เพิ่มขึ้นนี้สร้างอุปสรรคหลายประการ โดยเฉพาะขั้นตอนการตรวจสอบประวัติลูกค้าอย่างละเอียด (KYC) ที่อาจใช้เวลานานกว่าหนึ่งปี ซึ่งนานกว่าในดูไบที่ใช้เวลาเพียง 2-6 เดือน ทำให้ความอดทนของนักลงทุนหลายคนหมดลง
นอกจากนี้ กฎระเบียบใหม่ที่เข้มงวดเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลและคริปโต ซึ่งรวมถึงการกำหนดให้มีทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ 2.5 แสนดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 6.2 ล้านบาท) ก็ได้ส่งผลให้กลุ่มนักลงทุนที่สร้างความมั่งคั่งจากวงการคริปโตย้ายออกไป
อีกหนึ่ง ‘คอขวดสำคัญ’ คือข้อกำหนดด้านการจ้างงาน โดยสำนักงานครอบครัวที่ต้องการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในสิงคโปร์ตามจำนวนขั้นต่ำ ซึ่งสำหรับสำนักงานขนาดเล็กแล้ว ข้อกำหนดนี้ทำให้แทบจะต้องจ้างพนักงานท้องถิ่นในอัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่งกับพนักงานต่างชาติเลยทีเดียว
อุปสรรคยังขยายไปสู่เรื่องส่วนตัว โดยผู้ยื่นขอสถานะต้องผ่านการตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัว ซึ่งถูกมองว่าเป็นการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวมากเกินไป ดังที่หลินยกตัวอย่างว่า “ฉันจำเป็นต้องแจ้งเรื่องลูกนอกสมรสของฉันจริงๆ หรือ เพียงเพราะต้องการมาบริหารความมั่งคั่งในสิงคโปร์”
สถานการณ์ดังกล่าวเปิดโอกาสให้ฮ่องกงกลับมาทวงบัลลังก์อีกครั้ง โดยได้ออกมาตรการจูงใจทางภาษีและปรับปรุงโครงการลงทุนเพื่อดึงดูดผู้พำนักอาศัยให้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ปัจจัยด้านไลฟ์สไตล์ก็มีส่วนสำคัญ โดยเศรษฐีหนุ่มสาวหลายคนคุ้นเคยกับชีวิตกลางคืนที่คึกคักของฮ่องกงมากกว่า และรู้สึกว่าไลฟ์สไตล์ในสิงคโปร์นั้นเงียบเหงาเกินไป
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่านี่ไม่ใช่การล่มสลาย แต่เป็นการปรับสมดุล โดยเศรษฐีเหล่านี้กำลังกระจายความเสี่ยงด้านเขตอำนาจศาลและมองหาความยืดหยุ่นที่มากขึ้นในที่อื่นๆ หลังจากที่สิงคโปร์เคยอยู่ในช่วงที่รุ่งเรืองอย่างมาก
ไอริส ซู ผู้ก่อตั้งบริษัท Jenga สรุปสถานการณ์นี้ว่า ตอนนี้กระแสความร้อนแรงได้ลดลงและกำลังมีการจัดระเบียบครั้งใหญ่ซึ่งเธอเชื่อว่า “ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ดีของสิงคโปร์ และการกลับสู่สมดุลในตอนนี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ”
หมายเหตุ : ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สิงคโปร์ เท่ากับ 24.78 บาท ณ วันที่ 22 กันยายน 2568
ภาพ: PT STOCK / Getty Images
อ้างอิง: