×

20 ปีที่รอคอย วันแห่งชัยชนะที่ทีมบ๊วยของโลกฝันถึง

20.03.2024
  • LOADING...

“ผมยังจดจำมันได้อย่างชัดเจน สิ่งที่ทำให้วันนั้นเป็นวันที่พิเศษมากคือ การที่เราเองก็ไม่ได้คาดหวังเหมือนกันว่ามันจะเกิดขึ้น” ซิโมเน บัคคิออคชี เล่าถึงวันประวัติศาสตร์ของทีมชาติซานมารีโน ไม่สิ ควรจะเรียกว่าวันประวัติศาสตร์ของประเทศซานมารีโนด้วยซ้ำ เมื่อพวกเขาคว้าชัยชนะในเกมการแข่งขันระดับนานาชาติได้เป็นครั้งแรก

 

ชัยชนะครั้งนั้นเกิดขึ้นในเกมที่พวกเขาเฉือนลิกเตนสไตน์ได้ 1-0 ในเดือนเมษายน 2004 หรือกำลังจะผ่านมา 20 ปีแล้ว และหลังจากนั้นพวกเขาก็ยังไม่เคยชนะใครอีกเลย

 

เพียงแต่ตอนนี้ซานมารีโนกำลังมีความหวังที่จะกลับมาคว้าชัยชนะนัดที่ 2 ในประวัติศาสตร์ กับการลงสนามในอีก 2 เกมข้างหน้า

 

“ในวันนั้นเราไม่ได้ฉลองอะไรกันมากมาย แต่แค่การเดินกลับออกจากสนามในฐานะผู้ชนะมันก็ถือเป็นการฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับพวกเราแล้ว” บัคคิออคชี กล่าวถึงวันแห่งชัยชนะ ซึ่งขณะนั้นเขาอายุได้ 27 ปี

 

“เราไม่จำเป็นต้องมีปาร์ตี้ฉลองอะไร เพราะเราไม่ได้เป็นแค่นักฟุตบอลกลุ่มหนึ่ง แต่เราเป็นเพื่อน เป็นคนที่เสียสละ เป็นคนที่เอาชนะอุปสรรค และพยายามต่อสู้เพื่อกันและกันจนบรรลุเป้าหมาย”

 

 

โดยที่นักเตะซามมาริเนเซ (Sammarinese) ทุกคนไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่าการเล่นในเกมที่สุดยอดสักนัด และได้รับชัยชนะที่ดีสักหน

 

จากเกมกับลิกเตนสไตน์เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ซานมารีโนลงสนามมาแล้ว 137 นัด โดยที่ไม่เคยเก็บชัยชนะได้อีก และในจำนวนนี้มีแค่เกมนัดเดียวที่พวกเขาได้เป็นฝ่ายออกนำคู่แข่งไปก่อน คือในเกมที่พบกับมอลตาเมื่อเดือนสิงหาคม 2012

 

เพียงแต่ในตอนนี้ชาวซานมารีโนทุกคนกำลังฝันถึงวันแห่งชัยชนะอีกครั้ง

 

นั่นเป็นเพราะในโปรแกรมทีมชาติรอบนี้พวกเขาจะได้ลงสนาม 2 นัดด้วยกันในวันนี้ และวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ในเกมกระชับมิตรกับทีมชาติเซนต์คิตส์และเนวิส (คนเขียนเองก็เกาหัวแกรกแล้วหนึ่ง)

 

อันที่จริงเซนต์คิตส์และเนวิสมีอันดับในเวิลด์แรงกิ้งของ FIFA ดีกว่าซานมารีโนด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาอยู่อันดับที่ 147 (ส่วนซานมารีโนอยู่ไกลถึงอันดับที่ 210 หรือพูดง่ายๆ คืออันดับสุดท้ายของโลก) ซึ่งมองแบบนี้ก็อาจชวนให้รู้สึกว่าซานมารีโนเอาอะไรมาหวังว่าพวกเขาจะเก็บชัยชนะได้ในเกมนี้

 

แต่ในมุมของซานมารีโน พวกเขาเชื่อว่าฟอร์มของเซนต์คิตส์และเนวิสกำลังย่ำแย่ แพ้มาถึง 7 จาก 9 นัดหลังสุด โดยล่าสุดไปแพ้กัวดาลูป (เกาหัวอีกแล้ว) มา 5-0 เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ในขณะที่ซานมารีโนถึงจะยังไม่ชนะใคร แต่ก็ดูเข้าฟอร์มเพราะแพ้ด้วยสกอร์ไม่ห่างมากในแบบ 2-1, 3-1 และ 2-1 ซึ่งรวมถึงการแพ้ต่อทีมใหญ่กว่าอย่างทีมชาติเดนมาร์กในสกอร์ 2-1 ด้วย

 

นั่นทำให้ตอนนี้ทีมบ๊วยของโลกกำลังคิดการใหญ่

 

จากที่เป้าหมายอยู่ที่การยันเสมอคู่แข่งให้ได้นานที่สุด ตอนนี้เป็นครั้งแรกในระยะเวลายาวนานที่พวกเขาเริ่มคิดถึงชัยชนะ

 

 

“ปกติแล้วเราจะพยายามรักษาสกอร์ 0-0 เอาไว้ให้ได้นานที่สุด เพียงแต่ครั้งนี้มันจะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เพราะครั้งนี้เราต้องเป็นฝ่ายรุกแล้วเพื่อจะยิงให้ได้” ลอเรนโซ คาปิคโชนี กองกลางวัย 22 ปีของซานมารีโน กล่าวถึงเกมที่จะเจอกับเซนต์คิตส์และเนวิส

 

“เราแสดงให้เห็นในเกมกับเดนมาร์กที่ได้เล่นในบ้านว่าเราก็มีความสามารถ เราแพ้ 2-1 แต่เราก็ยันเสมอได้ถึง 20 นาที และเราเร่งเกมเพื่อจะตีเสมอให้ได้ด้วยในช่วงท้าย”

 

อีกเหตุผลที่ทำให้คาปิคโชนีรู้สึกมั่นใจมากขึ้นคือ พวกเขาจะได้กำลังหลักของทีมกลับมากันครบถ้วน แถมเป็นการเล่นในบ้านด้วย

 

เรียกว่าไม่มีโอกาสไหนจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว!

 

“ผมก็ไม่รู้จักเซนต์คิตส์และเนวิสเท่าไร แต่โค้ชเอาวิดีโอของพวกเขาให้ผมดูแล้วนิดหน่อย ผมคิดว่าระดับของพวกเขาน่าจะพอๆ กับเซนต์ลูเซียนะ” ซึ่งสำหรับคาปิคโชนีแล้ว เกมกับเซนต์ลูเซียคือเกมในความทรงจำ เพราะเป็นเกมแรกที่เขาได้ลงเล่นในนามทีมชาติซานมารีโน

 

ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงในทีมบ้าง โค้ชคนเก่าอย่าง ฟาบริซิโอ คอสตาตินี อำลาทีมไปเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยมี โรแบร์โต เชโวลี เข้ามารับหน้าที่แทน ประตูมือหนึ่งและมือสองอย่าง อัลโด ซิมอนชินี กับ เอเลีย เบเนเดตตินี ในวัย 37 ปี และ 28 ปี ตามลำดับ ก็อำลาทีมชาติตามไปด้วย แต่คาปิคโชนียืนยันว่าบรรยากาศภายในทีมซานมารีโนยังคึกคัก

 

“เราก็ยังเป็นทีมชุดเดิม ผมไม่คิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก เรายังเป็นกลุ่มที่ดี เราเป็นชาติเล็กๆ ทำให้เราทุกคนต่างรู้จักกันดี และเมื่อถึงเวลาลงสนามให้ทีมชาติ เรารู้ว่าเราต้องพยายามมากเป็นพิเศษเพื่อจะช่วยเหลือคนอื่น”

 

 

สำหรับคาปิคโชนี สิ่งนี้ไม่ใช่แค่มิตรภาพที่เป็นชื่อถนนสายหนึ่ง

 

ทีมชาติซานมารีโนคือพี่น้อง

 

และพวกเขาพร้อมจะทำทุกอย่างใน 2 นัดข้างหน้าเพื่อจะนำพาชัยชนะครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์มาสู่เพื่อนร่วมชาติที่มีจำนวนแค่ 32,960 คนให้ได้

 

ชัยชนะที่อาจเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ สำหรับชาติที่ยิ่งใหญ่

 

แต่สำหรับชาติเล็กๆ มันมีความหมายใหญ่ไม่แพ้คำว่าชาติ

 

อ้างอิง:

FYI
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising