Silvergate Capital Corp. ธนาคารที่เน้นการให้บริการกับลูกค้าที่อยู่ในอุตสาหกรรมคริปโต ประกาศว่าจะปิดกิจการลงหลังจากที่ประสบปัญหาด้านการเงินอย่างรุนแรง ขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทดิ่งลงต่อเนื่องจากจุดสูงสุดเกือบ 240 ดอลลาร์ มาเหลือเพียง 2.3 ดอลลาร์ หรือลดลงไปราว 99%
“ท่ามกลางพัฒนาการของอุตสาหกรรมและการกำกับดูแล Silvergate เชื่อว่าการยุติการดำเนินงานเป็นทางออกที่ดีที่สุด โดยแผนการยุติกิจการและการชำระบัญชีจะรวมถึงการจ่ายคืนเงินฝากทั้งหมดเต็มจำนวน”
การล่มสลายของ Silvergate เกิดขึ้นท่ามกลางการถูกตรวจสอบโดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ว่ามีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงจากการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการล่มสลายของบริษัทคริปโตยักษ์ใหญ่อย่าง FTX และ Alameda Research ก่อนหน้านี้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันเกี่ยวกับการทำความผิดใดๆ ออกมา
ทั้งนี้ บริษัทได้ตัดขายสินทรัพย์บางส่วนในราคาที่ขาดทุนและยังได้ปิดระบบชำระเงินหลักของบริษัท ซึ่งเป็นเหมือนหัวใจสำคัญของธุรกิจที่ให้บริการแก่ลูกค้าในอุตสาหกรรมคริปโต
Sherrod Brown สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งดำรงตำแหน่งประธาน Senate Banking, Housing, and Urban Affairs Committee กล่าวว่า “วันนี้เรากำลังเห็นว่าอะไรสามารถเกิดขึ้นได้บ้างเมื่อธนาคารเปิดรับความเสี่ยงมากเกินไป โดยเฉพาะกับอุตสาหกรรมที่ผันผวนสูงอย่างคริปโต เมื่อธนาคารเข้ามาเกี่ยวข้องกับคริปโต ทำให้ความเสี่ยงกระจายไปทั่วทั้งระบบการเงิน และทำให้ผู้เสียภาษีและลูกค้าได้รับผลกระทบ”
Hilary Allen ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายของ American University กล่าวว่า การล่มสลายของ Silvergate อาจสร้างแรงกดดันที่มากขึ้นต่อธนาคารต่างๆ สำหรับอธิบายว่าจะบริหารจัดการความเสี่ยงหากเข้าไปเกี่ยวข้องกับคริปโตให้เหมาะสมได้อย่างไร
Silvergate ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1988 โดยเริ่มต้นจากการปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจทั่วไป เช่น ศูนย์การค้า อสังหาริมทรัพย์ ก่อนที่บริษัทจะเริ่มเข้ามาปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าด้านคริปโตตั้งแต่ปี 2013
หลังจากธุรกิจด้านคริปโตเติบโตขึ้นต่อเนื่อง ทำให้บริษัทตัดสินใจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ปี 2019 พร้อมให้คำมั่นกับนักลงทุนว่าจะเติบโตต่อไปจากการนำของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคริปโต ซึ่ง ณ วันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา มีผู้ที่ฝากสินทรัพย์ดิจิทัลผ่าน Silvergate Exchange Network สูงถึง 1.19 หมื่นล้านดอลลาร์
แต่ในอีก 3 เดือนถัดมา หลังจากที่ FTX ล่มสลายลง ทำให้มูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัลที่ฝากอยู่ในระบบลดลงไปเหลือเพียง 3.8 พันล้านดอลลาร์ โดย FTX ถือเป็นหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่ของธนาคาร
ก่อนที่บริษัทจะเดินมาถึงจุดวิกฤตเมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา หลังจากที่นักลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น Coinbase Global, Galaxy Digital Holdings, Paxos Trust และอีกหลายบริษัท ตัดสินใจหยุดรับการทำธุรกรรมผ่าน Silvergate
Aaron Klein นักวิชาการอาวุโสของ Brookings Institution ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีการเงินและการกำกับดูแล กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ “ไม่มีอะไรใหม่เลยสำหรับเรื่องนี้ การกู้ยืมในระยะสั้นเพื่อปล่อยกู้ในระยะยาวเป็นจุดตายของธนาคารมาตลอดหลายร้อยปี”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ย้อนรอยวิกฤตคริปโต การล่มสลายของ FTX รอบนี้จะสั่นสะเทือนตลาดคริปโตได้เหมือนรอบ Mt.Gox ปี 2014 หรือไม่?
- บิล แอคแมน เริ่มใจอ่อน เผย มองคริปโตในมุมบวกมากขึ้น ถึงขั้นเริ่มเข้าลงทุนบ้างแล้ว
- แม้แต่ ‘จัสติน บีเบอร์’ ยังขาดทุน! ผลงาน NFT จาก Bored Ape Yacht Club ที่ซื้อมาด้วยราคา 46.4 ล้านบาท ตอนนี้หล่นลงเหลือ 2.5 ล้านบาท
อ้างอิง: